หากคุณเล่นโซเชียลมีเดียเป็นประจำ ก็น่าจะเคยเห็นอินฟลูเอนเซอร์หลายคนที่บอกว่าธุรกิจดรอปชิปเป็นทางลัดสู่ความสำเร็จสำหรับเจ้าของธุรกิจ คำกล่าวแบบนี้อาจทำให้หลายคนลังเลและตั้งคำถามว่า Dropship คุ้มมั้ย?
ในบทความนี้ มาดูกันว่าการเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิปบน Shopify ยังทำกำไรได้ในปี 2025 หรือไม่ พร้อมเจาะลึก 6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของคุณ
ทำ Dropship คุ้มมั้ย? มาดูแนวโน้มปี 2025
ในปี 2025 ดรอปชิปยังคงเป็นโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นอีคอมเมิร์ซโดยไม่ต้องลงทุนในสต๊อกสินค้า หรือจัดเก็บสินค้าเอง
ในโมเดลธุรกิจดรอปชิป การจัดการคำสั่งซื้อถูกส่งต่อให้กับบริษัทผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์โดยตรง ซึ่งหมายความว่าสินค้าจะถูกจัดส่งจากแหล่งผลิตไปยังลูกค้าโดยตรง โดยที่ผู้ขายไม่ต้องจัดเก็บหรือสัมผัสสินค้าเอง เมื่อมีออเดอร์เข้ามา ผู้ขายจะส่งคำสั่งซื้อไปยังซัพพลายเออร์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลการหยิบสินค้า แพ็ก และจัดส่งให้กับลูกค้า

Dropship คุ้มมั้ย ในปี 2025?
หากคุณกำลังมองหาธุรกิจต้นทุนต่ำที่สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ดรอปชิปยังคงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า ความนิยมของธุรกิจนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนการค้นหาคำว่า “Dropshipping” ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 2004 จนถึง 2024 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและความเกี่ยวข้องของโมเดลธุรกิจนี้ในตลาดปัจจุบัน

กระบวนการเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิปนั้นค่อนข้างง่าย
- เลือกสินค้าดรอปชิปที่เป็นที่ต้องการ
- ค้นหาซัพพลายเออร์ที่มีสินค้าที่ต้องการขาย
- สร้างร้านค้าออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้
แล้วจากนั้นก็แค่รอรับเงินใช่ไหม?
ไม่เสมอไป ถึงแม้ว่าการเปิดร้านดรอปชิปจะใช้เงินลงทุนต่ำกว่าธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม แต่ผู้ขายยังต้องสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์และดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้า
ทำไมดรอปชิปยังได้รับความนิยมในปี 2025?
ตลาดดรอปชิปทั่วโลกมีมูลค่าถึง 351.8 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2024 เพิ่มขึ้น 23.6% จากปีก่อนหน้า ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตเฉลี่ย 24.39% ต่อปี ระหว่างปี 2020-2026 และอาจมีมูลค่าทะลุ 500 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2026 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธุรกิจดรอปชิปยังคงเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการ

อีกหนึ่งหลักฐานที่ช่วยตอบคำถามว่า Dropship คุ้มมั้ย คือรายงานของ Grand View Research ที่ระบุว่าความนิยมของดรอปชิปเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของการช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ผู้ประกอบการสามารถใช้โอกาสนี้ในการเริ่มต้นธุรกิจโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนด้านการจัดการสต๊อกสินค้า
อย่างไรก็ตาม การรับรู้เกี่ยวกับดรอปชิปที่เพิ่มขึ้นทำให้มีอินฟลูเอนเซอร์ออนไลน์จำนวนมากแนะนำโมเดลธุรกิจนี้ว่าเป็น “ทางลัดสู่ความรวย” แต่ต้องไม่ลืมว่า ดรอปชิปก็เหมือนธุรกิจอื่นๆ ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย และไม่ใช่หนทางสู่ความสำเร็จแบบข้ามคืน
ข้อดีของดรอปชิป
ดรอปชิปเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นสร้างรายได้ออนไลน์ เพราะโมเดลธุรกิจนี้มีข้อได้เปรียบสำคัญหลายประการ ได้แก่
ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ
ผู้ประกอบการใหม่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากเพื่อซื้อสต๊อกสินค้าสำหรับดรอปชิป เมื่อมีออเดอร์เข้ามา ซัพพลายเออร์จะเป็นผู้จัดการด้านการจัดส่งให้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จำเป็นคือทักษะด้านการตลาด โดยเฉพาะหากคุณอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
ความยืดหยุ่น
ดรอปชิปช่วยให้ผู้ขายเลือกขายสินค้ากี่รายการก็ได้ตามต้องการ โมเดลธุรกิจนี้สามารถขยายขนาดได้ง่าย ทำให้ร้านค้าสามารถปรับตัวและอัปเดตสินค้าตามแนวโน้มของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว
ทดสอบสินค้าง่าย
เนื่องจากผู้ขายดรอปชิปไม่ต้องจัดการเรื่องการจัดส่งและสต๊อกสินค้า งานหลักจึงเป็นการ ทดสอบว่าสินค้าตัวไหนขายดีที่สุด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมหลายคนมองว่าดรอปชิปเป็นเหมือนคอร์สเร่งรัดในการตลาดอีคอมเมิร์ซ
Caleb Dueck ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของ Sperry Honey กล่าวไว้ว่า“โมเดลดรอปชิป เช่น Print on Demand ช่วยให้คุณเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้ เนื่องจากแพลตฟอร์ม Print on Demand จะจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรง คุณจึงยังได้รับประโยชน์จากการให้ซัพพลายเออร์ดูแลเรื่องการจัดส่ง ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้”
6 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเริ่มธุรกิจ Dropship
1. ต้นทุนต่ำ ช่วยให้ดรอปชิปทำกำไรได้
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซมักใช้เงินลงทุนหลักพันดอลลาร์ในปีแรกของธุรกิจ โดยค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดมักเป็นด้านของต้นทุนสินค้า ซึ่งคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายทั้งปี
ดรอปชิปช่วยลดต้นทุนเหล่านี้ได้อย่างมาก เนื่องจาก ไม่ต้องลงทุนพัฒนาสินค้าใหม่ ต้นทุนสินค้าจึงจำกัดอยู่แค่ค่าตัวอย่างสินค้าเท่านั้น และแทนที่จะต้องจ้างพนักงานจัดการคำสั่งซื้อและสต๊อกสินค้า ซัพพลายเออร์จะเป็นผู้ดูแลขั้นตอนเหล่านี้แทน
อย่างไรก็ตาม กำไรจากดรอปชิปขึ้นอยู่กับการเลือกสินค้าที่เหมาะสมและตั้งราคาขายอย่างมีกลยุทธ์ เพราะโดยทั่วไป ผู้ขายดรอปชิปต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมให้กับซัพพลายเออร์เพื่อเข้าถึงสินค้าคงคลัง และเนื่องจากมีหลายธุรกิจขายสินค้าคล้ายกัน จึงมีข้อจำกัดเกี่ยวกับอัตรากำไรที่สามารถทำได้ต่อสินค้าแต่ละชิ้น
ต้นทุนด้านการตลาดเป็นค่าใช้จ่ายหลักของดรอปชิปเปอร์ เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันสูง วิธีที่คุณนำเสนอสินค้าให้โดดเด่นเป็นเรื่องสำคัญ หากคู่แข่งขายสินค้าราคาถูกกว่าคุณ การทำการตลาดดิจิทัลเชิงกลยุทธ์ สามารถช่วยโน้มน้าวให้ลูกค้าเลือกซื้อจากคุณ แม้ว่าราคาจะสูงกว่าก็ตาม
2. Dropship มีการแข่งขันสูง
เนื่องจากการเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิปใช้เงินลงทุนน้อย จึงเป็นโมเดลที่ดึงดูดผู้ประกอบการจำนวนมากให้เข้ามาขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งทำให้ตลาดมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้ายอดนิยมที่มีร้านค้าหลายแห่งขายสินค้าคล้ายกัน
หากต้องการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ลองใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้
เลือกกลุ่มสินค้าที่มีการแข่งขันน้อย
“การตั้งราคาสูงขึ้นโดยไม่ได้เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ยั่งยืน เพราะอุปสรรคในการเข้าตลาดต่ำ ทำให้เกิดการแข่งขันสูงและความแตกต่างน้อยลง” Caleb Dueck กล่าว
สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง
Cole Turner ผู้ที่ทำเงินหลักล้านจากร้านดรอปชิป กล่าวว่า "ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จในดรอปชิปตอนนี้ คือการทำให้ร้านดูเหมือนเป็นแบรนด์ที่แท้จริงและเป็นธุรกิจที่น่าเชื่อถือ แม้ว่าตอนแรกจะเริ่มต้นจาก AliExpress ก็ตาม คุณต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของคุณเชื่อถือได้"
ให้ความสำคัญกับบริการลูกค้า
ดรอปชิปเปอร์หลายคนมักมุ่งเน้นไปที่การตลาดมากเกินไป จนละเลยลูกค้าเก่า ทั้งที่ลูกค้าเดิมมีแนวโน้มซื้อสินค้าจากร้านคุณมากกว่าลูกค้าใหม่
Brian Peters หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรของ Shopify กล่าวไว้ว่า "ดรอปชิปยังคงเป็นส่วนสำคัญของเส้นทางผู้ค้า และยังมีโอกาสที่จะทำให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าคุณภาพสูงขึ้น จัดส่งได้รวดเร็วขึ้น หรือปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานของลูกค้า"
3. Dropship ต้องใช้เวลา กว่าจะประสบความสำเร็จ
แม้ว่าดรอปชิปจะเป็นโมเดลธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากก่อนจะทำยอดขายแรกได้ หากต้องการประสบความสำเร็จ คุณต้องทุ่มเทให้กับสิ่งเหล่านี้
- สร้างร้านค้าอีคอมเมิร์ซ
- หาสินค้าใหม่ที่น่าสนใจ
- ค้นหาซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้
- ทำการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้า
- สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
คาดว่าคุณต้องใช้เวลาหลายสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อสร้างรายได้ต่อเดือนที่มั่นคง และยิ่งลงทุนเวลากับธุรกิจมากเท่าไร โอกาสสร้างรายได้ที่ยั่งยืนก็สูงขึ้นตามไปด้วย
จากประสบการณ์ของดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ โดยทั่วไปต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีเต็มในการทำงานอย่างจริงจัง เพื่อให้มีรายได้เทียบเท่ากับงานประจำ
4. การเลือกซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ คือหัวใจสำคัญ
คุณอาจมีแคมเปญการตลาดที่ยอดเยี่ยม แต่หากลูกค้าไม่พอใจกับสินค้าที่ได้รับ หรือแย่กว่านั้นคือลูกค้าอาจไม่ได้รับสินค้าตามกำหนด ธุรกิจดรอปชิปของคุณอาจไปไม่รอด
Adam Garfield ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ HairBro กล่าวว่า "การจัดการปัญหาซัพพลายเชน เช่น ความล่าช้าในการจัดส่งหรือปัญหาด้านคุณภาพสินค้า จำเป็นต้องมีการบริหารเชิงรุกและสื่อสารกับซัพพลายเออร์อย่างมีประสิทธิภาพ"
แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ ดรอปชิปยังคงเป็นโมเดลที่ยืดหยุ่น ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นต่ำ และขยายธุรกิจได้ง่าย ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการมือใหม่
แพลตฟอร์มอย่าง Alibaba และ DSers มีซัพพลายเออร์ให้เลือกมากมายสำหรับเจ้าของร้านดรอปชิป แต่การ คัดกรองซัพพลายเออร์อย่างละเอียด เป็นสิ่งที่จำเป็นก่อนร่วมมือทางธุรกิจ
เมื่อตรวจสอบซัพพลายเออร์ดรอปชิป ควรให้ความสำคัญกับสิ่งต่อไปนี้
ระยะเวลาจัดส่ง
ลูกค้าออนไลน์ต้องการการจัดส่งที่รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ ตรวจสอบว่าซัพพลายเออร์สามารถให้บริการในระดับที่คุณต้องการได้หรือไม่ โดยเปรียบเทียบระยะเวลาจัดส่งและค่าขนส่งจากหลายแหล่ง
รีวิวและคะแนนจากผู้ใช้จริง
เพื่อควบคุมคุณภาพสินค้า ตรวจสอบรีวิวจากธุรกิจอื่นๆ ที่ใช้ซัพพลายเออร์เดียวกัน เช่น สินค้ามีคุณภาพดีหรือไม่, มีตำหนิหรือปัญหาบ่อยแค่ไหน, กระบวนการจัดส่งเร็วพอที่จะทำให้ลูกค้าพอใจหรือไม่ และซัพพลายเออร์ยอมรับการคืนสินค้าหรือไม่
การสนับสนุนลูกค้า
ซัพพลายเออร์ที่ดีมักเปิดรับความคิดเห็นและมีระบบบริการลูกค้าที่รวดเร็ว เคล็ดลับสำคัญสำหรับดรอปชิปเปอร์ คือคุณต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดของซัพพลายเออร์ แม้จะเป็นความผิดของซัพพลายเออร์ก็ตาม ควร ติดต่อซัพพลายเออร์เพื่อแก้ไขปัญหา แต่เมื่อตอบลูกค้า ควรแสดงความรับผิดชอบและหาวิธีชดเชยเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้า
5. ดรอปชิปเปอร์ต้องรับผิดชอบการบริการลูกค้า
การให้ความสำคัญกับบริการลูกค้าเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ เมื่อมีออเดอร์เข้ามา ระบบจะส่งรายละเอียดไปยังซัพพลายเออร์โดยอัตโนมัติ ซัพพลายเออร์จะเป็นผู้ดูแลเรื่องการหยิบสินค้า แพ็ก และจัดส่ง แต่หากเกิดปัญหาในขั้นตอนใดก็ตาม ดรอปชิปเปอร์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อหน้าลูกค้า
แม้ว่าการเลือกซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้สามารถลดภาระเรื่องนี้ได้ แต่การให้บริการลูกค้าจะยังคงเป็นงานสำคัญที่ต้องจัดการตลอดการดำเนินธุรกิจ
แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการบริการลูกค้า
- แจ้งสถานะคำสั่งซื้อให้ลูกค้าทราบล่วงหน้า เช่น อัปเดตระยะเวลาจัดส่งหากมีความล่าช้า
- ควบคุมคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด โดยทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้
- ขอโอกาสแก้ตัวหากลูกค้าได้รับสินค้าผิดพลาด เช่น เสนอคูปองส่วนลดสำหรับการสั่งซื้อครั้งถัดไป
- ทำให้การขอความช่วยเหลือสะดวกขึ้น เช่น ติดตั้งแชทบอทบนเว็บไซต์ และใส่ลิงก์ไปยังหน้า FAQs ในอีเมลยืนยันคำสั่งซื้อ
แนวทางเหล่านี้ช่วยป้องกันไม่ให้ลูกค้า ร้องเรียนร้านค้าผ่านโซเชียลมีเดียหรือรีวิวออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ 93% ของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ระบุว่า รีวิวมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ
นอกจากนี้ รีวิวเชิงลบมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากกว่าความคิดเห็นเชิงบวก ดังนั้น การลงทุนใน บริการลูกค้า และการรับมือกับปัญหาอย่างมืออาชีพ จะช่วยให้ร้านค้าสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเป็นดรอปชิปเปอร์ที่ลูกค้าไว้วางใจ
6. ดรอปชิปเป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย
ดรอปชิปเป็นโมเดลธุรกิจที่ได้รับการยอมรับและถูกกฎหมาย แต่มีรายละเอียดบางอย่างที่ต้องคำนึงถึงก่อนเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถตอบคำถามได้ว่าการทำ Dropship คุ้มมั้ย
โครงสร้างธุรกิจ
การดำเนินธุรกิจในรูปแบบเจ้าของคนเดียว (Sole Proprietorship), บริษัทจำกัด (LLC), หรือบริษัท C Corporation มีข้อดีแตกต่างกัน แต่สำหรับดรอปชิป การจดทะเบียน LLC อาจให้การคุ้มครองที่ดีกว่า เพราะช่วยแยกทรัพย์สินส่วนตัวออกจากหนี้สินของธุรกิจ เช่น หากมีการใช้จ่ายด้านการตลาดเกินงบ คุณจะไม่ต้องรับผิดชอบทางการเงินในฐานะบุคคล
ภาษี
ภาษีขาย ดรอปชิปเปอร์ต้องชำระภาษีขาย หากเขตที่คุณดำเนินธุรกิจมีการเก็บภาษี และลูกค้าอยู่ในเขตเดียวกัน ส่วนภาษีเงินได้ หากคุณรับเงินเดือนจากธุรกิจดรอปชิป อาจต้องเสียภาษีเงินได้
สัญญา
ขอคำแนะนำจากทนายความในการร่างสัญญาความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ เพื่อปกป้องธุรกิจในกรณีที่เกิดปัญหากับการจัดส่งหรือคุณภาพสินค้า
นโยบายอีคอมเมิร์ซ
ร้านค้าดรอปชิปควรมี นโยบายความเป็นส่วนตัว, นโยบายการจัดส่ง และนโยบายการคืนสินค้า ให้ลูกค้าอ่านก่อนตัดสินใจซื้อ
ประกันธุรกิจ
ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจ การทำประกันธุรกิจเป็นทางเลือกที่ช่วยปกป้องคุณจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
Dropship ยังคุ้มอยู่มั้ย? อนาคตของธุรกิจดรอปชิปปี 2025
อุตสาหกรรมดรอปชิปยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และด้วยจำนวนผู้ประกอบการที่เข้าสู่ธุรกิจนี้มากขึ้น คุณต้องลงทุนเวลาและความพยายามเพื่อทำให้ร้านค้าของคุณโดดเด่นเหนือคู่แข่ง และเรื่องนี้ยิ่งสำคัญขึ้นหากกลุ่มเป้าหมายของคุณคือ คนรุ่นใหม่ โดย Caleb Dueck กล่าวว่า "ผู้บริโภคเจนมิลเลนเนียลและเจน Z รู้จักดรอปชิปมากกว่าที่เคย พวกเขาเข้าใจว่าสามารถหาสินค้าเหล่านี้ในราคาถูกกว่าจากแพลตฟอร์มอย่าง Temu และ Alibaba ได้"
ความสำเร็จของดรอปชิปขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ เลือกสินค้าที่ใช่และซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้, รักษาอัตรากำไรให้เหมาะสม และให้บริการลูกค้าคุณภาพสูง
หากคุณสามารถให้ความสำคัญกับปัจจัยเหล่านี้และมีความยืดหยุ่นในการปรับตัว ธุรกิจดรอปชิปอาจเป็นอนาคตที่คุ้มค่าสำหรับคุณ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับความคุ้มในการทำ Dropship
Dropship คุ้มมั้ย สำหรับมือใหม่?
ดรอปชิปเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีสำหรับมือใหม่ เพราะไม่ต้องจัดการสต๊อกสินค้าเองหรือดูแลการจัดส่ง หากคุณมีทักษะด้านการตลาดและสามารถสื่อสารกับซัพพลายเออร์และลูกค้าได้ดี ธุรกิจนี้สามารถสร้างรายได้ที่ดีได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มต้น
ข้อเสียของดรอปชิปมีอะไรบ้าง?
ข้อเสียของดรอปชิป ได้แก่ อัตรากำไรที่ต่ำง, การบริหารโลจิสติกส์ซับซ้อน และการควบคุมสต๊อกสินค้าทำได้น้อยกว่าธุรกิจทั่วไป อย่างไรก็ตามคุณสามารถลดปัญหาเหล่านี้ได้โดย เลือกซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้และขายสินค้าคุณภาพสูง
ดรอปชิปยังทำกำไรได้ในปี 2025 หรือไม่?
ดรอปชิปยังคงทำกำไรได้ แต่กำไรจะขึ้นอยู่กับสินค้าที่คุณขาย ควรตรวจสอบราคาต้นทุนจากซัพพลายเออร์และเปรียบเทียบราคาขายของคู่แข่งเพื่อกำหนดอัตรากำไรที่เหมาะสม
ทำ Amazon Dropship คุ้มมั้ย?
การดรอปชิปบน Amazon มีโอกาสทำกำไรน้อยกว่าการขายผ่านร้านค้าอีคอมเมิร์ซของตัวเอง เนื่องจาก Amazon หักค่าธรรมเนียมจากทุกยอดขาย ลองกระจายช่องทางการขาย โดยเปิดร้านค้าออนไลน์ของตัวเองเพื่อขายตรงให้ลูกค้าจะสามารถรับกำไรได้มากกว่า