การเริ่มต้นธุรกิจทำ Dropship เป็นเส้นทางที่เข้าถึงได้ง่ายสู่การเป็นผู้ประกอบการ เมื่อลูกค้าสั่งซื้อของจากร้านดรอปชิปปิ้งของคุณ ผู้จัดจำหน่ายจะจัดส่งสินค้าโดยตรง ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องเก็บสต็อกสินค้า ซึ่งก็ทำให้ค่าใช้จ่ายอื่นๆ น้อยลงตามไปด้วย
ทำติดตาม 9 ขั้นตอนด้านล่างนี้ เพื่อเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิปปิ้งกัน
วิธีเริ่มทำ Dropship ใน 9 ขั้นตอน
- ตัดสินใจว่า Dropship เป็นโมเดลธุรกิจที่เหมาะสม
- เลือกกลุ่มตลาดทำดรอปชิปปิ้ง
- วิจัยคู่แข่ง
- เลือกผู้จัดจำหน่าย
- เลือกสินค้าและตั้งราคา
- สร้างร้านค้าออนไลน์
- ตัดสินใจด้านโครงสร้างกิจการ
- จัดการการเงิน
- ทำการตลาดให้กิจการ Dropship ของคุณ
1. ตัดสินใจว่า Dropship เป็นโมเดลธุรกิจที่เหมาะสม
การทำ Dropship เป็นหนึ่งในวิธีการทำธุรกิจออนไลน์ ก่อนที่จะเริ่มต้น คุณควรใช้เวลาในการคิดและตัดสินใจ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมกับเป้าหมายที่คุณต้องการ
โดยทั่วไป Dropshipping เหมาะสำหรับผู้ที่มีทักษะด้านการตลาด และต้องการดำเนินธุรกิจด้วยการลงทุนเริ่มต้นที่น้อย และเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเก็บสินค้า คุณจึงสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการมีแค่โน้ตบุ๊กและอินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม ความสะดวกนี้มีข้อแลกเปลี่ยน ดรอปชิปเปอร์จะไม่สามารถคุมสินค้าได้มากเท่าไหร่นัก และอาจมีผู้ค้าปลีกอื่น ๆ ขายสินค้าชนิดเดียวกัน ทำให้การแข่งขันสูง
หากคุณวางแผนที่จะมุ่งเน้นไปที่การตลาดและไม่ได้ต้องการขยายกิจการจากสินค้าหลัก ดรอปชิปปิ้งอาจเหมาะกับคุณ
2. เลือกกลุ่มตลาดสำหรับดรอปชิปปิ้ง
ลำดับต่อไปของวิธีเริ่มทำ Dropship คือการเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย โดยการเลือกกลุ่มตลาดสำหรับดรอปชิปปิ้งจะช่วยให้คุณระบุกลุ่มเป้าหมายได้ ด้วยลูกค้าที่เฉพาะเจาะจง และส่งผลให้การค้นหาสินค้าสำหรับดรอปชิปง่ายขึ้น
มีวิธีง่ายๆ 2 วิธีในการเลือกกลุ่มตลาด ได้แก่
- เลือกกลุ่มที่คุณมีความรู้หรือชื่นชอบ
- เลือกกลุ่มตามความต้องการของตลาด
เป้าหมายของวิธีที่ 2 คือการค้นหากลุ่มที่มีความสนใจจากลูกค้าสูง แต่มีการแข่งขันต่ำ ซึ่งดรอปชิปเปอร์สามารถประเมินความต้องการของตลาดผ่านการวิจัยคำหลัก (คีย์เวิร์ด) และสินค้า
การค้นหากลุ่มตลาดด้วยการวิจัยคีย์เวิร์ด
การวิจัยคำหลัก เป็นอีกหนึ่งวิธีเริ่มทำ Dropship ที่จะช่วยให้คุณเห็นว่าผู้บริโภคกำลังค้นหาอะไรผ่านช่องทางออนไลน์
เครื่องมืออย่าง Google Trends, Facebook Audience Insights, และ Keywords Everywhere จะเป็นตัวช่วยเปิดเผยการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ได้รับความนิยม ซึ่งร้านออนไลน์ของคุณอาจตอบโจทย์
เมื่อประเมินความต้องการจากการค้นหาของผู้บริโภคแล้ว ให้ดูที่เทรนด์ทั้งในอดีตและปริมาณการค้นหา เพื่อค้นหากลุ่มที่มีความนิยมที่ยั่งยืนหรือมีแนวโน้มว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้น

ความสนใจใน “ebikes” ในช่วงห้าปี
ตัวอย่างเช่น ผู้ก่อตั้ง eBike Generation John Murphy เริ่มต้นจากการวิจัยคำหลัก เพื่อสร้างบริษัทดรอปชิปมูลค่า 3 ล้านดอลลาร์ โดยการระบุกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่มีสินค้าใดตอบโจทย์พวกเขาได้
วิธีเริ่มทำ Dropship ด้วยการค้นหากลุ่มตลาดด้วยการวิจัยสินค้า
การวิจัยสินค้าจะช่วยให้คุณค้นพบผลิตภัณฑ์ที่กำลังมาแรง และเข้าใจรสนิยมของผู้บริโภคในหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
แอปดรอปชิปปิ้งเช่น DSers ช่วยให้คุณเห็นปริมาณการสั่งซื้อสินค้าในตลาดเช่น AliExpress
ใช้การวิจัยทั้ง 2 ประเภทร่วมกัน เพื่อสร้างภาพรวมของกลุ่มตลาดดรอปชิปปิ้ง เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรตรวจสอบเทรนด์คำหลักและความนิยมของสินค้าอย่างสม่ำเสมอ
และเพื่อให้ธุรกิจของคุณสอดคล้องกับความพร้อมของสินค้า คุณอาจตัดสินใจเลือกผู้จัดจำหน่ายดรอปชิปก่อนที่จะเลือกกลุ่มตลาด
3. วิจัยคู่แข่ง
ช่วงเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิปปิ้งการวิเคราะห์คู่แข่งช่วยได้ ลอง ใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลร้านค้าที่เป็นคู่แข่งในกลุ่มตลาดของคุณ
โดยการสังเกตสิ่งที่คู่แข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดรอปชิปเปอร์คนอื่น ๆ ขาย วิธีนี้คุณจะสามารถระบุสินค้าและกลยุทธ์การตลาดที่มีศักยภาพ ตรวจสอบหน้าสินค้าและโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย เพื่อดูว่ามีอะไรที่ดึงดูดลูกค้า
และนี่คือลิสต์เครื่องมือที่เป็นส่วนหนึ่งของวิธีเริ่มทำ Dropship ซึ่งจะช่วยให้คุณวิจัยคู่แข่งได้อย่างละเอียด
- การค้นหาบน Google
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่ง
- เช็คโซเชียลมีเดีย
- ตรวจสอบตลาด
ค้นหาบน Google
วิธีเริ่มทำ Dropship อย่างมีกลยุทธ์ สามารถเริ่มต้นด้วยการค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มตลาดของคุณเพื่อดูว่าธุรกิจใดปรากฏขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิปในกลุ่มสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง คุณอาจลองค้นหาคำว่า “ของเล่นสัตว์เลี้ยง” “อาหารสัตว์เลี้ยง” หรือ “แปรงขนสัตว์เลี้ยง”
ลองพยายามเช็คอย่างละเอียด เพื่อดูว่าร้านไหนบ้างที่ปรากฏในผลการค้นหาอย่างสม่ำเสมอ เพราะร้านเหล่านี้อาจเป็นคู่แข่งหลักสำหรับกลุ่มผู้ชมการค้นหาแบบออร์แกนิก ซึ่งหากคุณต้องการข้อมูลเชิงลึก ลองใช้ เครื่องมือ SEO คุณอาจพบว่าคู่แข่งที่มีอันดับสูงสุดมีการปรับคอนเทนท์ให้เหมาะสมกับคำหลักแบบยาว (Longtail Keywords) ซึ่งเป็นวลีที่ยาวขึ้นและช่วยจำกัดกลุ่มผู้ค้นหาได้เจาะจงมากกว่า
คำหลักแบบยาวมีการแข่งขันน้อยกว่า ทำให้เป็นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะกับเว็บไซต์ดรอปชิปขนาดเล็ก ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์คู่แข่งของคุณอาจเปิดเผยว่าคำหลัก “ปลอกคอสุนัข” มีการแข่งขันจากผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่ ขณะที่ “ปลอกคอสุนัข LED” มีการแข่งขันน้อยกว่า และ “ปลอกคอสุนัข LED สำหรับสุนัขตัวเล็ก” มีพื้นที่สำหรับธุรกิจใหม่ของคุณ
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่ง
เครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่ง เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนวิธีเริ่มทำ Dropship การค้นหาข้อมูลเชิงลึกว่าคู่แข่งใช้กลยุทธ์แบบไหน โดยคุณจะสามารถพบข้อมูลเหล่านี้ได้โดยการติดตามแหล่งที่มาของการเข้าชม จำนวนผู้เข้าชม และการมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย
ตัวอย่างเช่น หากคุณพบว่าคู่แข่งพึ่งโฆษณาที่ต้องชำระเงินมาก คุณอาจพิจารณาวิธีที่ตรงกันข้าม หรือลองเพิ่มการลงทุนในเนื้อหา SEO และหากคู่แข่งไม่ค่อยเคลื่อนไหวบนโซเชียล การเริ่มทำก่อนก็อาจเป็นประโยชน์
ใช้โซเชียลมีเดีย
ติดตามหน้าโซเชียลมีเดียของคู่แข่ง เพื่อเข้าใจวิธีการที่พวกเขามีส่วนร่วมกับผู้ติดตาม ให้ความสนใจกับประเภทของโพสต์ที่สร้างความสนใจ เช่น ไลค์ ความคิดเห็น และการแชร์
ตัวอย่างเช่น หากคู่แข่งในกลุ่มสินค้าสัตว์เลี้ยงของคุณกำลังได้รับความนิยมจากการทำวิดีโอการดูแลสัตว์ DIY สิ่งที่คุณทำได้คือการทำคอนเทนท์ที่คล้ายกัน นอกจากนี้ให้สังเกตช่องว่าง เพราะอาจมีความต้องการทางด้านคอนเทนท์ที่ยังไม่ตอบโจทย์ เช่น เคล็ดลับการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
ตรวจสอบตลาด
ผู้ขายในกลุ่มตลาดของคุณบนแพลตฟอร์มตลาดเช่น eBay, Amazon, และ Etsy ก็สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีเริ่มทำ Dropship อย่างถูกต้อง
สังเกตจำนวนรายการสินค้าที่มีอยู่ หากตลาดดูอิ่มตัว ให้ลองทำรายการสินค้าของคุณให้แตกต่าง ไม่ว่าจะโดยการลดราคา หรือนำเสนอประสบการณ์ลูกค้าพรีเมียมที่ไม่ซ้ำกับใครในตลาด
เก็บผลการวิจัยคู่แข่งในสเปรดชีต เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและอ้างอิงข้อมูล
4. เลือกผู้จัดจำหน่าย
ขั้นตอนต่อมาของวิธีเริ่มทำ Dropship คือการรู้จักผู้จัดจำหน่ายดรอปชิป ซึ่งเป็นคนจัดหาสินค้าและสต็อก รับคำสั่งซื้อและการชำระเงิน และจัดการการจัดส่งไปยังที่อยู่ของลูกค้า
ด้วยความรับผิดชอบหลักนี้ การเลือกผู้จัดจำหน่ายจะมีผลกระทบอย่างมากต่อความสำเร็จของธุรกิจดรอปชิปปิ้ง
อย่างไรก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มตลาดและผลิตภัณฑ์ที่คุณขาย คุณอาจทำงานกับผู้จัดจำหน่ายเพียงรายเดียว หรือร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายหลายรายผ่านการใช้ไดเรกทอรีผู้จัดจำหน่าย
แอปไดเรกทอรีผู้จัดจำหน่ายที่ได้รับความนิยมจะช่วยเชื่อมต่อร้านค้าของคุณกับเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายดรอปชิปจำนวนมาก
ตัวอย่างเช่น แอป DSers ช่วยให้ผู้ใช้ Shopify ดรอปชิปจาก AliExpress ตลาดระดับโลกได้

DSers
5. เลือกสินค้าและตั้งราคา
ของในร้านค้าของคุณขึ้นอยู่กับสต็อกของผู้จัดจำหน่าย คุณจะพบกับสินค้าหลายรายการที่เหมือนกันในร้านดรอปชิปคู่แข่ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเลือกสินค้าที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย
แคตตาล็อกสินค้าที่เลือกอย่างดี จะสร้างโอกาสสำหรับการขาย Cross-selling ซึ่งมีโอกาสที่ผู้ซื้อจะหยิบสินค้าอื่นๆ เพิ่มลงในตะกร้า
ตอนเลือกสินค้าจากแอปหรือแพลตฟอร์มตลาด ให้ศึกษาความคิดเห็นจากผู้ขายรายอื่น รวมถึงประวัติการดำเนินงานของผู้จัดจำหน่าย เมื่อคุณมีรายชื่อสินค้าที่ต้องการแล้ว ให้สั่งซื้อตัวอย่างสินค้าเพื่อตรวจสอบคุณภาพและความสม่ำเสมอของบริการให้รอบด้าน
หากคุณใช้กลยุทธ์วิธีเริ่มทำ Dropship ผ่านการใช้ผู้จัดจำหน่ายต่างประเทศ ให้เลือกสินค้าที่มีสามารถจัดส่งได้อย่างรวดเร็ว เช่น การจัดส่งแบบ ePacket จากจีน ซึ่งสามารถลดเวลาการจัดส่งได้อย่างมาก
การตั้งราคาสินค้าดรอปชิป
ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า หรือของเล่น คุณจะต้องมีกลยุทธ์การตั้งราคาที่ทำให้ธุรกิจดรอปชิปของคุณยั่งยืนและช่วยให้คุณทำกำไรจากการขายแต่ละครั้ง
ไม่ว่าราคาจะอยู่ที่จุดใด ให้ตั้งอัตรากำไรต่อสินค้าโดยการคำนวณค่าใช้จ่ายของคุณ รวมถึงราคาที่จ่ายให้กับผู้จัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่น ๆ จากนั้นปรับสมดุลนี้กับราคาสินค้าที่คล้ายกันในตลาด เพื่อให้แน่ใจว่าร้านค้าของคุณสู้ราคากับคนอื่นได้
6. สร้างร้านค้าออนไลน์
ร้านค้าออนไลน์ของคุณเป็นศูนย์กลางธุรกิจดรอปชิปที่ใช้ทั้งเป็นแคตตาล็อก ช่องทางในการเลือกซื้อสินค้า และยังเป็นหน้าเว็บจุดหมาย เมื่อมีคนคลิกเข้าชมจากโฆษณาโซเชียลมีเดีย
นอกเหนือจากหน้าสินค้า ร้านค้าของคุณสามารถมีคอนเทนท์เพิ่มประสบการณ์ของลูกค้าได้เช่นกัน คอนเทนท์ลักษณะนี้รวมถึงรีวิวผลิตภัณฑ์ คู่มือผู้ใช้ คู่มือการซื้อ และบล็อกโพสต์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเนื้อหาเพิ่มเติมไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ แต่ยังปรับปรุงการมองเห็นร้านค้าในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหาด้วย
เครื่องมือสร้างร้านค้าของ Shopify มาพร้อมกับการชำระเงินที่มีอัตราการแปลงที่ดีที่สุดในอินเทอร์เน็ตและตัวเลือกการออกแบบที่ยืดหยุ่น ปรับแต่งรูปลักษณ์ของร้านค้าของคุณด้วย ธีมที่ออกแบบมาอย่างมืออาชีพ ที่เหมาะกับแบรนด์ของคุณ
การเพิ่มแอปดรอปชิปลงในร้านค้า Shopify ของคุณจะทำให้การจัดการผลิตภัณฑ์และการประมวลผลคำสั่งซื้อง่ายขึ้น แอปที่ได้รับความนิยม ได้แก่
- DSers เชื่อมต่อได้กับ AliExpress
- AutoDS สำหรับการวิเคราะห์เทรนด์สินค้าล่าสุดด้วย AI
- Zendrop ที่มีสินค้ามากกว่าล้านรายการ
- Spocket ที่มีผู้จัดจำหน่ายจากอเมริกา ยุโรป บราซิล และอินเดีย
ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพหน้าสินค้า
AI ถูกใช้ในทุกร้านค้า Shopify เพื่อช่วยให้คุณจัดการและขายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายการสินค้าด้วยคอนเทนท์ที่ละเอียดกว่าข้อมูลพื้นฐานที่ผู้จัดจำหน่ายของคุณให้มา
การกรอกคำหลัก (คีย์เวิร์ด) ลงบน Shopify Magic จะช่วยสร้างคำอธิบายสินค้าที่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง โดยใช้ภาษาที่เหมาะสมกับ SEO และเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ปรับภาพสินค้าที่คุณได้รับจากผู้จัดจำหน่ายให้เป็นภาพที่มีเอกลักษณ์และแบรนด์ด้วยพื้นหลังที่ไม่ซ้ำกัน ผ่านการปรับภาพที่เพิ่มประสิทธิภาพด้วย AI ภาพต้นฉบับ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยทำให้หน้าสินค้าของคุณไม่เหมือนกับคู่แข่งหรือผู้ค้ารายอื่นๆ
7. ตัดสินใจด้านโครงสร้างกิจการ
การเขียนแผนธุรกิจและการสร้างเอนทิตีทางกฎหมาย เป็นขั้นตอนเริ่มต้นที่สำคัญในการตั้งค่าธุรกิจดรอปชิปปิ้งระยะยาว
โครงสร้างธุรกิจทั่วไป 3 ประเภทสำหรับธุรกิจดรอปชิปปิ้ง ได้แก่
- เจ้าของคนเดียว
- บริษัทจำกัดความรับผิดชอบ
- บริษัท C
เจ้าของคนเดียว
เจ้าของคนเดียว คือธุรกิจดำเนินการโดยบุคคลคนเดียวและไม่ต้องการเอกสารที่ซับซ้อนหรือการยื่นภาษีเพิ่มเติม ทำให้เป็นโครงสร้างธุรกิจที่ได้รับความนิยมสำหรับดรอปชิปเปอร์ที่ต้องการทำให้ทุกอย่างง่ายและประหยัด
อย่างไรก็ตาม เจ้าของคนเดียวจะไม่มีการปกป้องสินทรัพย์ส่วนตัว หากธุรกิจประสบปัญหาทางกฎหมาย
บริษัทจำกัด (LLC)
การตั้งค่าธุรกิจดรอปชิปปิ้งในรูปแบบบริษัทจำกัดจะช่วยแยกการเงินส่วนตัวออกจากธุรกิจ ซึ่งไม่เพียงแต่ปลอดภัยกว่า แต่ยังทำให้การบัญชีชัดเจน
เมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าของคนเดียว LLCs เสนอประโยชน์ด้านภาษีที่ยืดหยุ่น ซึ่งอาจช่วยให้คุณประหยัดเงิน แต่คุณจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในการยื่นเพิ่มเติม และชำระค่าธรรมเนียมการจัดตั้ง
บริษัทประเภท C
ธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งถูกตั้งขึ้นในรูปแบบบริษัทประเภท C เนื่องจากการปกป้องความรับผิดที่กว้างขวาง บริษัทแบบ C มักมีค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งสูงและต้องเสียภาษี 2 ครั้ง เนื่องจากรายได้ไม่ส่งผ่านไปยังผู้ถือหุ้นโดยตรง
ก่อนที่จะเลือกโครงสร้างธุรกิจ ขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความเพื่อเข้าใจว่าโครงสร้างใดเหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ของคุณ
8. จัดการการเงิน
การแยกการธนาคารส่วนตัวออกจากธุรกิจดรอปชิปปิ้งช่วยทำให้การบัญชีง่ายขึ้น และทำให้สุขภาพทางการเงินของธุรกิจของคุณชัดเจน
ลองพิจารณางานการเงินพื้นฐานเหล่านี้ดู
เปิดบัญชีเช็คธุรกิจ
เปิดบัญชีธนาคารธุรกิจเพื่อฝากรายได้ บัญชีเฉพาะสำหรับร้านดรอปชิปของคุณทำให้การติดตามรายได้และค่าใช้จ่าย ง่ายขึ้น และรับประกันความโปร่งใสทางการเงิน
สมัครบัตรเครดิตธุรกิจ
พิจารณาได้รับบัตรเครดิตธุรกิจเพื่อชำระค่าสินค้า ค่าสมัครสมาชิกซอฟต์แวร์ ค่าธรรมเนียมโฆษณา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ สิ่งนี้ช่วยแยกค่าใช้จ่ายส่วนตัวและธุรกิจ และยังสามารถทำให้คุณได้รับรางวัลหากคุณเลือกบัตรที่มีสิทธิประโยชน์
ตรวจสอบข้อกำหนดใบอนุญาตธุรกิจในท้องถิ่น
แม้ว่าคุณจะดำเนินการจากที่บ้าน ในเขตของคุณอาจต้องใช้ใบอนุญาตธุรกิจ ซึ่งข้อกำหนดอาจแตกต่างกันไป ดังนั้นการตรวจสอบกับรัฐบาลท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่นทั้งหมด
9. ทำการตลาดให้กิจการ Dropship ของคุณ
เมื่อร้านดรอปชิปของคุณเปิดให้บริการ ให้เปลี่ยนความสนใจไปที่การตลาด กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพซึ่งนำการเข้าชมไปยังร้านค้าของคุณจะทำให้ธุรกิจดรอปชิปมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุด
ลองพัฒนากลยุทธ์สำหรับช่องทางการตลาดเหล่านี้
- โฆษณาแบบชำระเงิน
- การตลาดอินฟลูฯ
- การตลาดคอนเทนท์
- คอมมูนิตี้
- การตลาดผ่านมือถือ
- การตลาดอีเมล
โฆษณาที่ต้องชำระเงิน
ทดลองใช้โฆษณา Facebook, Instagram, TikTok, YouTube และ Google โฆษณาบนโซเชียลมีเดียจะช่วยเพิ่มชื่อเสียงของแบรนด์ในกลุ่มผู้ชมที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ Google Ads จะมุ่งเป้าไปที่ผู้บริโภคที่มีเจตนาซื้อเฉพาะ
การทดสอบโฆษณาบนทั้ง 2 แพลตฟอร์ม สามารถช่วยให้คุณกำหนดวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุด
การตลาดอินฟลูเอนเซอร์
การร่วมมือกับอินฟลูฯ บนแพลตฟอร์มเช่น TikTok และ Instagram สามารถช่วยขยายการเข้าถึงและความน่าเชื่อถือของคุณซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มยอดขาย
ใช้ Shopify Collabs เพื่อเชื่อมต่อกับอินฟลูฯ ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณและจ่ายค่าตอบแทนให้พวกเขาผ่านการใช้ โมเดลการตลาดแบบพันธมิตรที่อิงค่าตอบแทนตามผลการดำเนินงาน
การตลาดคอนเทนท์
การพัฒนากลยุทธ์การตลาดคอนเทนท์สามารถเพิ่มการมองเห็นของแบรนด์ได้ ลองเริ่มทำบล็อก วิดีโอแนะนำ หรือ เปิดตัวพอดแคสต์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้าของคุณ เนื้อหาที่ดีสามารถทำให้ลูกค้าให้การติดตามอยู่เสมอ แม้จะเคยสั่งซื้อสินค้าไปแล้วก็ตาม
คอมมูนิตี้
เข้าร่วมกลุ่มคนที่มีความหลงใหลในกลุ่มตลาดของคุณ การมีส่วนร่วมในการอภิปรายบนแพลตฟอร์ม อย่าง Reddit และ Facebook Groups สามารถสร้างความไว้วางใจและสร้างความสัมพันธ์ ตราบใดที่คุณไม่มุ่งเน้นการขายมากเกินไป
การตลาดผ่านมือถือ
หากคุณสามารถสร้างรายชื่อผู้ติดตามได้ กลยุทธ์การตลาด SMS มักจะมีระดับการมีส่วนร่วมสูง พิจารณาสร้างกลุ่มแชท VIP เสนอบริการไลฟ์แชท หรือส่งข้อความที่มีรหัสโปรโมชั่น (แบบจำกัดระยะเวลา)
การตลาดอีเมล
การตลาดอีเมลช่วยรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าหลังจากที่พวกเขาออกจากเว็บไซต์ของคุณ การส่งอีเมลที่ปรับแต่งให้เหมาะสม พร้อมโปรโมชั่นและข้อมูลที่มีประโยชน์สามารถกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำได้
ข้อผิดพลาดในการดรอปชิปที่ควรหลีกเลี่ยง
เช่นเดียวกับธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ การทำรร้านดรอปชิปมีความท้าทาย มาดูวิธีหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปในการทำดรอปชิป เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างราบรื่น
มองข้ามข้อมูลการขาย
ข้อผิดพลาดทั่วไปในหมู่ดรอปชิปเปอร์ใหม่ คือการไม่ใส่ใจในสิ่งที่ข้อมูลการขาย
ติดตามการขายอย่างต่อเนื่อง และอย่ากลัวที่จะปรับเปลี่ยนร้านค้าของคุณเพื่อเพิ่มผลกำไร และนี่คือลิสต์ที่ควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ
- สินค้าไหนที่ขายดี/ไม่ดี
- คุณทำเงินได้เท่าไหร่จากโฆษณา
- สินค้าใดที่ให้ผลกำไรดีที่สุด
- เทรนด์การขายเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วงเวลาต่าง ๆ
- ลูกค้าของคุณมาจากไหนและใช้อุปกรณ์อะไร
ไม่ใช้ SEO
ไม่ว่าลูกค้าของคุณจะพบคุณผ่าน Google หรือโซเชียลมีเดีย ความสามารถในการมองเห็นออนไลน์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมันมีผลโดยตรงต่อการเข้าชมและยอดขาย
ดังนั้น การไม่ทำ SEO อาจจำกัดการเติบโตของเว็บไซต์ โดยสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญ ได้แก่
- การสร้างคอนเทนท์ที่เป็นต้นฉบับและมีประโยชน์ในหน้าสินค้า
- การปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
- ทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายบนอุปกรณ์มือถือ
ร้านค้า Shopify มาพร้อมกับการโหลดที่รวดเร็วและการออกแบบหน้าที่ตอบสนอง ใช้ Google Search Console เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ และค้นหาจุดที่ต้องปรับปรุง
ไม่มีแผนขยายกิจการ
การไม่เตรียมตัวสำหรับการเติบโตอาจทำให้ธุรกิจของคุณติดขัด สร้างร้านค้าของคุณให้รองรับปริมาณการสั่งซื้อในปีหน้า ไม่ใช่ในวันนี้ หลีกเลี่ยงข้อจำกัด เช่น
- พึ่งพาผู้จัดจำหน่ายเพียงรายเดียว มองหาทางเลือกอยู่เสมอ เพื่อลดความเสี่ยงและรักษาสินค้าในสต็อก
- จัดการคำสั่งซื้อด้วยตนเอง ใช้แอปดรอปชิปที่ช่วยการประมวลผลคำสั่งซื้ออัตโนมัติ
ข้อดีของการดรอปชิป คือความสามารถในการรับปริมาณการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนมากมาย มีระบบที่พร้อมเพื่อจัดการคำสั่งซื้อมากขึ้นเมื่อมันมาถึง
ละเลยลูกค้าที่ไม่พอใจ
แม้ว่าดรอปชิปเปอร์จะไม่ได้เป็นผู้จัดการกับสต็อกโดยตรง แต่พวกเขาคือจุดสัมผัสหลักในการบริการลูกค้า การไม่ให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีข้อร้องเรียน อาจนำไปสู่การรีวิวเชิงลบและอัตราการคืนสินค้าที่สูง
ดังนั้นเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า นี่คือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ
- สร้างคำอธิบายสินค้าที่ถูกต้อง
- ให้ข้อมูลการติดต่อที่ชัดเจน
- ตอบคำถามและข้อกังวลของลูกค้าทุกคน
- จัดการการคืนสินค้าและการคืนเงินอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะติดต่อผู้จัดจำหน่าย
เครื่องมือ AI สำหรับบริการลูกค้าและแชทบอทรุ่นใหม่ล่าสุด ทำให้คุณสามารถตอบข้อความลูกค้าได้ทันที
เริ่มต้นกิจการดรอปชิปของคุณในปี 2025
ด้วย Shopify การเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิปไม่เคยง่ายขนาดนี้มาก่อน
เริ่มทดลองใช้งานฟรีวันนี้ เพื่อสร้างร้านค้าและเชื่อมต่อกับแอปดรอปชิปที่ได้รับความนิยม หรือขายสินค้าจากแบรนด์ที่รู้จักกันดีด้วย Shopify Collective
จากผู้ขายครั้งแรกไปจนถึงผู้ค้าปลีกระดับโลก Shopify ใช้งานได้ดีสำหรับเจ้าของกิจการทุกราย ดูแพคเกจและราคา
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีเริ่มทำ Dropship
วิธีเริ่มทำ Dropship มีอะไรบ้าง?
จะหาสินค้า Dropship ที่ดีที่สุดได้อย่างไร?
ในการระบุสินค้าที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจดรอปชิป ให้เริ่มต้นด้วยการเลือกกลุ่มที่มีความต้องการสูงแต่มีการแข่งขันต่ำ วิจัยเทรนด์และความสนใจของลูกค้า โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Google Trends และวิเคราะห์ข้อมูลตลาด เพื่อกำหนดผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรได้
ดรอปชิปปิ้งทำกำไรได้จริงหรือไม่?
ดรอปชิปเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ เนื่องจากผู้ขายไม่ต้องรับผิดชอบต่อการจัดส่งหรือการผลิต มีดรอปชิปเปอร์จำนวนมากที่ทำรายได้มากกว่า 100,000 ดอลล่าห์ต่อปี (ประมาณกว่า 3 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความสะดวกในการเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิป การแข่งขันในหมู่ดรอปชิปเปอร์มักจะสูง ซึ่งจำกัดอัตรากำไรที่เป็นไปได้