ในการสร้างร้านดรอปชิปให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องมีตลาดเฉพาะกลุ่ม
ตลาดเฉพาะกลุ่มช่วยให้คุณกำหนดกลุ่มเป้าหมายและหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าของคุณได้
การเลือกตลาดเฉพาะกลุ่มสำหรับดรอปชิปอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย คุณควรสร้างร้านที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่คุณรู้จักและชื่นชอบอยู่แล้วหรือไม่ หรือควรเลือกตลาดเฉพาะกลุ่มที่ได้รับความนิยมในพื้นที่ของคุณหรือในระดับโลกดีล่ะ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์ของคุณจะขายได้จริงๆ กันนะ
ถ้าคุณต้องการเปิดร้านดรอปชิปแต่ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นจากไหน ก็มาหาคำตอบได้ในบทความนี้
ตลาด Niche Dropship คืออะไร?
ตลาดเฉพาะกลุ่มในดรอปชิป คือลักษณะเฉพาะของตลาดที่สามารถให้บริการโดยการดรอปชิปผลิตภัณฑ์
ตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ฟิตเนส ของใช้สำหรับสัตว์เลี้ยงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือเฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่บ้าน ล้วนถือเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่สามารถทำดรอปชิปได้
ดรอปชิปเป็นวิธีการจัดการคำสั่งซื้อของร้างค้าปลีก ซึ่งไม่ต้องเก็บสต็อกสินค้าของตัวเอง เมื่อร้านค้าขายสินค้าไปแล้ว ร้านก็ทำการซื้อสินค้าจากผู้จัดจำหน่ายภายนอก ที่จะส่งสินค้าไปยังลูกค้าตามคำสั่งจากร้าน
การเลือกตลาดเฉพาะกลุ่มสำหรับดรอปชิปจะช่วยให้คุณสามารถทุ่มโฟกัสไปที่การตลาด เพื่อทำให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นจากคู่แข่งและสร้างอัตลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่งขึ้นมา
วิธีหาตลาด Niche Dropship
การที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้หรือไม่ ถ้าไม่มีใครต้องการสินค้าของคุณ ก็ยากที่คุณจะได้เงิน ดังนั้นการเติมเต็มความต้องการที่มีอยู่แล้วจึงง่ายกว่าการพยายามสร้างความต้องการใหม่
มาดูเคล็ดลับการดรอปชิปที่จะช่วยให้คุณเจอตลาดเฉพาะกลุ่มของคุณกัน
1. ใช้เครื่องมือในการวิจัยความต้องการ
การเข้าใจความต้องการของผลิตภัณฑ์ คู่แข่ง และซัพพลายเออร์ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล
โชคดีที่มีเครื่องมือออนไลน์หลายตัวที่สามารถช่วยคุณวัดความต้องการของผลิตภัณฑ์หรือตลาดได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณหาตลาดเฉพาะกลุ่มที่ดีที่สุดสำหรับดรอปชิปเจอ
Audience Insights
เครื่องมือ Audience Insights ของ Meta (Facebook, Instagram, WhatsApp) สามารถช่วยคุณค้นหาตลาดเฉพาะกลุ่มและเทรนด์ใหม่ๆ ได้ โดยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้ Meta และช่วยให้คุณเห็นขนาดของตลาดและความสนใจของผู้คนในกลุ่มนั้นๆ
คุณสามารถใช้ Audience Insights เพื่อค้นหาข้อมูลต่างๆ เช่น
- ข้อมูลประชากร: อายุ เพศ ไลฟ์สไตล์ การศึกษา ตำแหน่งงาน สถานะความสัมพันธ์ ฯลฯ
- เพจที่ไลก์: หมวดหมู่และหัวข้อที่สนใจ
- พิกัด: อาศัยอยู่ที่ไหน พูดภาษาอะไร
- กิจกรรม: การคลิกโฆษณา การคอมเมนต์ การใช้โปรโมชัน อุปกรณ์ที่ใช้ ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากสำรวจตลาดเฉพาะกลุ่มในหมวดฟิตเนสและสุขภาพ คุณสามารถพิมพ์คีย์เวิร์ดหาลงไป และ Meta จะแสดงจำนวนผู้ที่สนใจในตลาดนี้ทั่วโลกในแต่ละเดือนให้คุณดู
คุณยังสามารถดูได้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่สนใจในหัวข้อหนึ่งๆ กดไลก์อะไรบ้าง และอยู่ที่ไหนบ้าง
เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดของ Google
Google เปิดให้ข้อมูลปริมาณการค้นหาผ่านเครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ด (Keyword Planner) เพียงแค่พิมพ์คำหรือวลีที่ต้องการ แล้วเครื่องมือจะแสดงให้คุณเห็นว่ามีคนค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นเท่าไหร่ในแต่ละเดือน ข้อมูลนี้จะมีประโยชน์มากในการวางกลยุทธ์ธุรกิจและขยายร้านค้าออนไลน์ของคุณให้เติบโต

ถ้าคุณจำ 3 เมตริกนี้ได้ขึ้นใจ คุณจะสามารถทำตามวิธีหาตลาด Niche Dropship โดยใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างเต็มที่
- ประเภทการแมตช์คีย์เวิร์ด: เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดจะให้คุณเลือกประเภทการแมตช์คีย์เวิร์ดได้ทั้งแบบ แมตช์กว้างๆ แมตช์ระดับวลี หรือต้องเป็นคำนั้นโดยตรง (Exact-match) คุณควรใช้ตัวเลือกแบบแมตช์คำนั้นโดยตรง เว้นแต่จะมีเหตุผลที่ดีที่จะเลือกแบบอื่น เพราะมันจะให้ข้อมูลปริมาณการค้นหาที่แม่นยำที่สุดสำหรับคีย์เวิร์ดนั้น
- ตำแหน่งที่ค้นหา: ตรวจสอบความแตกต่างระหว่างยอดค้นหาในท้องถิ่น (ในประเทศของคุณหรือภูมิภาคที่ผู้ใช้กำหนด) กับยอดค้นหาทั่วโลก ถ้าคุณจะขายสินค้าในสหรัฐฯ เป็นหลัก คุณก็ควรให้ความสำคัญกับยอดค้นหาท้องถิ่นและมองข้ามผลลัพธ์จากทั่วโลกไป
- คีย์เวิร์ดแบบยาว (Long-tail): มักจะมีการให้ความสำคัญกับคีย์เวิร์ดที่เป็นคำหรือวลีสั้นๆ ที่มีปยอดค้นหามหาศาล แต่ในความเป็นจริง คีย์เวิร์ดยาวที่เฉพาะเจาะจงและมียอดค้นหาน้อยจะทำให้เกิดการเข้าชมจากเครื่องมือค้นหามากที่สุด คีย์เวิร์ดเหล่านี้มักจะเรียกกันว่า “long-tail”
อย่าลืมว่า คุณควรคำนึงถึงเมตริกเหล่านี้เมื่อคุณพิจารณาตลาดหรือกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าไป ถ้าคีย์เวิร์ดมีหลายรูปแบบซึ่งได้รับการค้นหาอยู่บ่อยๆ ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าตลาดนั้นมีความหลากหลายและความสนใจสูง แต่ถ้าคีย์เวิร์ดและปริมาณการค้นหาลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากคำหลักๆ นั้น อาจหมายความว่ามีการค้นหาน้อยในคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
วิธีหาตลาด Niche Dropship ด้วย Google Trends
สำหรับข้อมูลแบบกว้างๆ หลายคนใช้ Google Trends เครื่องมือนี้จะให้ข้อมูลที่เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดของ Google ไม่สามารถให้ได้ เช่น
แนวโน้มความสนใจในการค้นหาตามเวลา: ถ้าเป็นไปได้ คุณก็คงอยากเลือกตลาดที่กำลังเติบโต และ Trends จะช่วยให้คุณรู้ว่าตลาดนั้นกำลังเติบโตหรือไม่ สำหรับคีย์เวิร์ดใด ๆ คุณสามารถดูได้ว่าแนวโน้มการค้นหามีการเติบโตหรือถดถอยอย่างไรตามช่วงเวลา

คีย์เวิร์ดยอดนิยมและคีย์เวิร์ดที่กำลังมาแรง: วิธีหาตลาด Niche Dropship คุณจะสามารถดูภาพรวมของคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และคีย์เวิร์ดไหนที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว การมุ่งเน้นไปที่คำเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางแผนกลยุทธ์การตลาดและ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การกระจุกตัวทางภูมิศาสตร์: ฟีเจอร์ที่มีประโยชน์อีกอย่างตามวิธีหาตลาด Niche Dropship คือการดูว่าผู้คนกำลังค้นหาคีย์เวิร์ดในพื้นที่ไหน ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถระบุได้ว่า กลุ่มลูกค้าสำหรับตลาดเฉพาะกลุ่มของคุณอยู่ในพื้นที่ไหนมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายเรือแคนู คุณจะต้องหาว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของคุณมาจากที่ไหน

ฤดูกาล: การเข้าใจความเป็นฤดูกาลของตลาด (Seasonality) หรือความต้องการสินค้าต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ ของปี เป็นสิ่งสำคัญของวิธีหาตลาด Niche Dropship เพราะเครื่องมือคีย์เวิร์ดให้ข้อมูลในระดับรายเดือน คุณอาจจะสรุปผิดหากวัดปริมาณการค้นหาผิดช่วงเวลา
ตัวอย่างเช่น ความสนใจในการค้นหาคำว่า “เรือแคนู” จะสูงสุดในช่วงฤดูร้อน ถ้าคุณวัดความต้องการในช่วงฤดูร้อนและคาดหวังให้ความต้องการคงที่ตลอดทั้งปี คุณจะประเมินขนาดของความต้องการสูงเกินไป
สำหรับสินค้าทุกชิ้นที่คุณกำลังพิจารณาอย่างจริงจัง คุณควรใช้เวลาในการทำความเข้าใจรายละเอียดของยอดค้นหาของตลาดเฉพาะกลุ่มนั้นๆ
ตลาดออนไลน์
สำรวจ Amazon, eBay, Etsy, AliExpress และตลาดออนไลน์อื่นๆ เพื่อค้นหาสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยม
เริ่มต้นด้วยการสำรวจหมวดหมู่หรือแผนกต่างๆ บนตลาดออนไลน์ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ หรือบ้านและสวน
จากนั้น หาสินค้าที่ยอดนิยม หรือสินค้าขายดี มองหาหมวดหมู่หรือฟีเจอร์ที่แสดงสินค้าที่ยอดนิยม หรือสินค้าขายดีในแต่ละหมวดหมู่ ซึ่งมักจะมีป้ายระบุว่า “ขายดี,” “มาแรง” หรือคำในทำนองเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้คุณได้ข้อมูลว่า สินค้าใดกำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค
ใช้ตัวกรองและตัวเลือกการจัดเรียงเพื่อจำกัดการค้นหาของคุณ คุณอาจจะเห็นหมวดหมู่ย่อยของสินค้า ยิ่งมีหมวดหมู่ย่อยมากเท่าไหร่ ตลาดเฉพาะกลุ่มนั้นๆ ก็ยิ่งลึกลงไปเท่านั้น โดยการตั้งเกณฑ์เฉพาะ คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่สินค้าที่ตรงกับเป้าหมายการดรอปชิปของคุณ
นอกจากนี้ ยังเรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีในการจะตรวจสอบคู่แข่งและกลยุทธ์การตั้งราคา วิเคราะห์ระดับการแข่งขันสำหรับสินค้าที่คุณสนใจ พิจารณาตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีความต้องการและการแข่งขันที่สามารถจัดการได้ และอย่าลืมวิเคราะห์ราคาว่ามีพื้นที่สำหรับการตั้งราคาทำกำไรหรือไม่ด้วย
2. มองหาตลาดเฉพาะกลุ่มที่ใช้อุปกรณ์เสริมเยอะ
ลูกค้ามักจะไม่ค่อยมีความไวต่อราคาเกี่ยวกับอุปกรณ์เสริม ซึ่งช่วยให้คุณสามารถตั้งส่วนต่างกำไรได้สูงกว่า
ลูกค้าอาจจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการหาดีลที่ดีที่สุดสำหรับทีวี แต่พวกเขากลับไม่ลังเลที่จะจ่ายเงิน 1,000 บาทสำหรับสาย HDMI อย่างไรก็ตาม ธุรกิจขายสายเคเบิลนั้นอาจทำกำไรได้ใกล้เคียงกับกำไรจากการขายทีวีขนาดใหญ่เสียอีก
เมื่อคุณเลือกตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีอุปกรณ์เสริมมากมาย คุณจะได้กำไรที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีลูกค้าที่ไม่อ่อนไหวต่อราคา
3. ค้นหาลูกค้าที่มีใจรัก
เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากที่ผู้ที่ชอบทำงานอดิเรกจะใช้เงินไปกับสิ่งของมากแค่ไหน นักปั่นจักรยานเสือภูเขายอมจ่ายเงินหลายหมื่นบาท สำหรับอุปกรณ์เสริมที่มีน้ำหนักเบาเพื่อทำให้เฟรมจักรยานเบาลง และนักตกปลาที่ชื่นชอบจะลงทุนเงินจำนวนมากในเรือและอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง ถ้าคุณสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่แก้ไขปัญหาที่ทำให้ลูกค้าได้ คุณก็จะพบกับลูกค้าในกลุ่มที่พร้อมจะซื้อ
4. มองหาผลิตภัณฑ์ที่กำลังเป็นกระแส แต่หาซื้อได้ยากในท้องถิ่น
เลือกสินค้าที่กำลังมาแรง แต่หาซื้อได้ยากในพื้นที่นั้นๆ และคุณจะสามารถเข้าถึงลูกค้าส่วนใหญ่ของคุณได้เมื่อพวกเขาค้นหาสินค้าออนไลน์ ถึงแม้ว่าคุณจะอยากได้สินค้าที่หายากในพื้นที่ แต่คุณต้องมั่นใจว่าสินค้านั้นมีความต้องการที่เพียงพอ นี่คือเส้นทางที่ต้องเดินอย่างระมัดระวัง
5. เลือกตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีการหมุนเวียนของสินค้าต่ำ
ถ้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของคุณเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ในแต่ละปี คุณจะเสียเวลาไปกับทรัพยากรที่เร็วๆ นี้จะล้าสมัย การขายสินค้าที่มีการหมุนเวียนต่ำจะช่วยให้คุณสามารถลงทุนในเว็บไซต์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่สามารถใช้งานได้หลายปี
6. พิจารณาขายสินค้าที่ใช้แล้วทิ้งหรือสินค้าที่ใช้ซ้ำ
ลูกค้าประจำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจใดๆ และการขายให้กับลูกค้าเก่าที่ไว้วางใจคุณนั้นง่ายกว่าการหาลูกค้าใหม่ ถ้าผลิตภัณฑ์ของคุณต้องการการสั่งซื้อซ้ำเป็นประจำและคุณสามารถรักษาความพึงพอใจของลูกค้าได้ คุณก็จะสามารถสร้างธุรกิจที่มีกำไรและมีรายได้ที่ยั่งยืนได้
ตลาดเฉพาะกลุ่มดรอปชิปที่ทำกำไรได้มากที่สุด
ถ้าคุณต้องการเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงที่สุด การเลือกทำตามวิธีหาตลาด Niche Dropship เฉพาะกลุ่มที่มีกำไรและได้รับความนิยมแล้ว ถือเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง
จากการวิจัยเกี่ยวกับสินค้าดรอปชิปที่ดีที่สุด พบว่ามีตลาดเฉพาะกลุ่มที่ทำกำไรสูงในปี 2025 ได้แก่
- อุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์
- ความยั่งยืน
- เครื่องครัวและอุปกรณ์ทานอาหาร
- บ้านและห้องนอน
- เด็กและทารก
- ผลิตภัณฑ์สำนักงานและสำนักงานที่บ้าน
- อุปกรณ์เสริมสำหรับโทรศัพท์
อุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์
ตลาดอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์ทั่วโลกมีมูลค่าเกือบ 5.3 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2023 และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในอัตรา 5.8% ต่อปีจนถึงปี 2032 ความสนใจในการค้นหาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ผู้ซื้อมักต้องการความมั่นใจว่าอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์ที่พวกเขาซื้อใช้งานได้จริง การเพิ่มรีวิวจากลูกค้าในหน้าผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในคุณภาพของสินค้าและกระตุ้นยอดขายได้อีกด้วย
สินค้าดรอปชิปที่น่าสนใจในหมวดอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์
- เครื่องทำความหอมภายในรถ
- อะแดปเตอร์บลูทูธสำหรับรถยนต์
- ที่ชาร์จรถยนต์
- ถังขยะในรถ
- เจลทำความสะอาด
- กล้องติดรถยนต์และกล้องหลัง
- ขาตั้งและที่ยึดอุปกรณ์
- ชุดไฟ LED แบบใต้ท้องรถ
- ชุดปฐมพยาบาลสำหรับรถ
- แผ่นรองพื้นรถ
- สายไฟ LED ภายในรถ
- ครีมบำรุงหนัง
- กรอบป้ายทะเบียน
- ผ้าเช็ดทำความสะอาดไมโครไฟเบอร์
- เครื่องดูดฝุ่นแบบพกพา
- ชุดฉุกเฉินบนท้องถนน
- ผ้าคลุมที่นั่งและที่จัดระเบียบ
- ผ้าคลุมพวงมาลัย
- ม่านบังแดดและฟิล์มกรองแสง
- ใบปัดน้ำฝน
ความยั่งยืน
ความยั่งยืนกลายเป็นประเด็นที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ผู้บริโภค และพวกเขาคาดหวังให้แบรนด์ต่างๆ เข้าร่วมด้วย ตามรายงานหนึ่งในปี 2023 พบว่า 40% ของผู้ซื้อไม่รู้สึกสะดวกใจที่จะซื้อสินค้าจากบริษัทที่ไม่ติดตามความก้าวหน้าในเรื่องเป้าหมายด้านความยั่งยืนของพวกเขา
และนักช้อปก็ไม่กลัวที่จะใช้เงินเพื่อพิสูจน์จุดยืนของตนเอง กว่า 74% ของผู้บริโภคพร้อมที่จะซื้อจากบริษัทที่โปร่งใส และ 58% จะยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าที่ยั่งยืนหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ 71% วางแผนที่จะซื้อสินค้าที่มีการพิจารณามากขึ้นในปี 2024 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อเข้าสู่ตลาดความยั่งยืนในฐานะตลาดเฉพาะกลุ่มสำหรับดรอปชิป ลองพิจารณาสินค้าดังนี้
- วัสดุห่ออาหารจากขี้ผึ้งและวัสดุที่คล้ายกัน
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีสารเคมี
- จาน ถ้วย และชามที่ย่อยสลายได้
- ขวดน้ำคุณภาพสูง
- ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผ้าธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ใยกัญชง หรือไผ่ (เครื่องนอน เสื้อผ้า ฯลฯ)
- ถ้วยกาแฟที่ใช้ซ้ำได้
- อุปกรณ์ไฟฟ้าและไฟพลังงานแสงอาทิตย์
- แชมพูและครีมนวดแบบก้อน
- หลอดสแตนเลสหรือไผ่
- เสื้อผ้ากีฬาที่ยั่งยืน
- กระเป๋าผ้า
- ชุดช้อนส้อมสำหรับการเดินทาง
- สินค้าบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมังสวิรัติ
ครัวและการรับประทานอาหาร
การค้นหาผลิตภัณฑ์เครื่องครัวและการรับประทานอาหารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเครื่องใช้ในบ้านเพียงอย่างเดียวมีมูลค่าถึง 6.7 แสนล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2028
ผลิตภัณฑ์ในหมวดนี้ เช่น เครื่องปั่นแบบพกพาและกาต้มน้ำไฟฟ้า ได้รับความนิยมอย่างยั่งยืน
สินค้าดรอปชิปที่ยอดเยี่ยมในหมวดเครื่องครัวและการรับประทานอาหาร ได้แก่
- หม้อทอดไร้น้ำมัน
- แคปซูลกาแฟ
- จานกระดาษย่อยสลายได้
- กาต้มน้ำไฟฟ้า
- ตาชั่งไฟฟ้า
- แก้วเก็บความร้อน
- อุปกรณ์จัดระเบียบและเก็บของในครัว
- เครื่องทำลาเต้
- กล่องข้าวเด็กสไตล์เบนโตะที่กันน้ำได้
- ชาเปปเปอร์มิ้นต์
- เครื่องปั่นแบบพกพา
- กระบอกเชคสำหรับโปรตีนเชค
- อุปกรณ์ทำอาหารจากซิลิโคน
- แก้วทรงสูงจากสแตนเลส
- ตัวกรองน้ำ
บ้านและห้องนอน
ตลาดตกแต่งบ้านมีมูลค่า 126 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และคาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ย 4.77% ต่อปีจนถึงปี 2028 การค้นหาคำว่า “บ้านและห้องนอน” ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยมักจะมีการค้นหาสูงสุดในช่วงมกราคม และมิถุนายนถึงกรกฎาคม
ผู้ค้าปลีกออนไลน์ขนาดเล็กมีข้อได้เปรียบในการขายสินค้าตกแต่งบ้าน เพราะสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่ใช้กันทั่วไป นั่นหมายความว่าเกือบทุกคนต้องการสิ่งของที่เหมือนกัน เช่น ปลอกหมอน ซึ่งมีจำหน่ายทั่วไป แต่ไม่มีผู้ซื้อรายใดต้องการแบบเดียวกัน ทำให้มันเหมาะสมกับการตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม
ลองพิจารณาสินค้าเหล่านี้ถ้าคุณต้องการเข้าสู่ตลาดตกแต่งบ้านในฐานะดรอปชิปเปอร์
- ผ้าม่านกันแสง
- แจกันเซรามิก
- เครื่องพ่นน้ำมันหอมระเหย
- ไฟกระพริบหรือไฟแต่งที่เป็นเส้นๆ
- กรอบรูป
- เครื่องรีดผ้าพกพา
- ของตกแต่งตามเทศกาล
- ตะกร้าซักผ้า
- ผ้าปูที่นอนลินินหรือใยไผ่
- ผ้าปูที่นอนไมโครไฟเบอร์
- ราวแขวนเสื้อที่ไม่ลื่น
- หมอนและเก้าอี้นั่ง
- เฟอร์นิเจอร์ที่ประกอบเอง
- พรม
- ปลอกหมอนผ้าซาติน
- ผ้าม่านกั้นโซนอาบน้ำ
- ผ้าห่มถ่วงน้ำหนัก
เด็กและทารก
ตลาดเด็กและทารกครอบคลุมหลายด้าน ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเด็กทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่า 8.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2026 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6.4% ต่อปี และของเล่นเด็กเพียงอย่างเดียวก็เป็นส่วนสำคัญของตลาดนี้
แนวโน้มปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความลังเลในการซื้อผลิตภัณฑ์เด็ก เช่น อาหาร เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย ถ้าคุณกำลังวางแผนที่จะดรอปชิปผลิตภัณฑ์เด็ก อย่าลืมสร้างแบรนด์ที่เชื่อถือได้ที่ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้
สินค้าดรอปชิปที่เหมาะสำหรับตลาดเด็กและทารก ได้แก่
- ขวดนม
- ยาทาแผลสำหรับเด็ก
- เก้าอี้เสริม
- ถุงเก็บน้ำนมแม่
- ของเล่นกัดสำหรับทารก
- ผ้าอ้อม
- ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้น
- ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวทารกที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
- เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิหน้าผากแบบไม่สัมผัส
- เสื้อผ้าเด็กออร์แกนิก
- แปรงขวดน้ำแบบฟองน้ำ
- พัดลมสำหรับรถเข็น
- ของเล่นกัดฟัน
- ผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ไม่มีแอลกอฮอล์
- เครื่องสร้างไวท์นอยส์
ผลิตภัณฑ์สำนักงานและสำนักงานที่บ้าน
ประมาณ 1 ใน 3 ของคนที่สามารถทำงานจากที่บ้าน ใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษนี้เต็มเวลา ทุกคนต้องจัดเตรียมพื้นที่ทำงานของตัวเอง จึงมีโอกาสมากมายในการทำดรอปชิปในตลาดนี้
ตลาดสำนักงานที่บ้านทั่วโลกมีมูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่สามารถหาซื้อได้จากซัพพลายเออร์ดรอปชิปต่างๆ คุณยังสามารถเข้าร่วมเล่นในเทศกาลช้อปปิ้งก่อนเปิดเทอมได้ด้วย โดยขายอุปกรณ์เป็นชุดรวม อย่างกล่องดินสอกับปากกา ดินสอ มาร์กเกอร์ สีเทียน ยางลบ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่น่าจะขายดี ผลิตภัณฑ์บางอย่าง เช่น ดินสอกด ไส้ดินสอ ก็มีโอกาสที่ดีในการสร้างการซื้อซ้ำและสร้างความภักดีให้กับแบรนด์
ถ้าคุณอยากเริ่มทำดรอปชิปในตลาด Niche Dropship นี้ ลองพิจารณาสินค้าตามรายการด้านล่าง
- กระดานไม้คอร์ก
- โคมไฟโต๊ะทำงาน
- แผ่นรองโต๊ะทำงาน
- ปากกาไวท์บอร์ด
- โต๊ะและอุปกรณ์เสริมที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (เมาส์ เก้าอี้ คีย์บอร์ด ขาตั้งและตัวเสริมหน้าจอ ฯลฯ)
- แฟ้ม เอกสาร ซองจัดระเบียบ และกล่องเก็บของ
- สก๊อตเทปที่ทนทาน
- สมุดบันทึกและสมุดจดบันทึกคุณภาพสูง
- ดินสอกด
- สมุดจด
- ของตกแต่งสำนักงาน
- ปากกาและที่ใส่ปากกา
- ที่เย็บกระดาษ
- ฮับและอะแดปเตอร์ USB
- กล้องเว็บแคมและชุดไมโครโฟน
- แป้นชาร์จไร้สาย
อุปกรณ์เสริมสำหรับโทรศัพท์
อุปกรณ์เสริมสำหรับโทรศัพท์มือถือมีแนวโน้มความต้องการที่คงที่มาเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยความต้องการสูงสุดในช่วงฤดูหนาวและคงความต้องการอยู่ตลอดทั้งปี ผลิตภัณฑ์อย่างฟิล์มกันรอยและเคสโทรศัพท์ยังคงมีความต้องการอยู่เสมอ ตลาดสำหรับอุปกรณ์ป้องกันเพียงอย่างเดียวมีมูลค่า 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2022 และคาดว่าจะเติบโต 8.3% ต่อปีจนถึงปี 2028

Subtle Asian Treats เป็นผู้ค้าของ Shopify ที่ขายเคส iPhone แบบดรอปชิป รวมถึงเคสสำหรับ AirPods และของเล่นที่ได้แรงบันดาลใจจากชานมไข่มุก
เนื่องจากกล้องสมาร์ทโฟนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถแข่งขันกับกล้องดิจิทัลได้เอง ทำให้มีโอกาสในการขายอุปกรณ์เสริมสำหรับการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนได้มากขึ้น นอกจากนี้ การใช้แอปพลิเคชันพิมพ์ตามสั่ง (print-on-demand) เพื่อสร้างดีไซน์ของตัวเองก็เป็นวิธีที่ดีในการโดดเด่นหรือเสนอบริการปรับแต่งสินค้าตามความต้องการ
ถ้าคุณต้องการเริ่มต้นในตลาดอุปกรณ์เสริมสำหรับโทรศัพท์มือถือ ลองพิจารณาผลิตภัณฑ์เหล่านี้
- ลำโพงบลูทูธ, หูฟัง หรือหูฟังแบบเอียร์บัด
- ที่ชาร์จในรถยนต์
- ชุดทำความสะอาด
- เคสที่ปรับแต่งได้
- อุปกรณ์ระบายความร้อนสำหรับโทรศัพท์
- ที่จับโทรศัพท์
- ขาตั้งโทรศัพท์และที่วางโทรศัพท์
- เครื่องชาร์จแบบพกพาและแบตเตอรี่สำรอง
- ไฟวงแหวน (Ring lights)
- ฟิล์มกันรอย
- แสตนด์เซลฟี่
- กระเป๋าสตางค์สำหรับสมาร์ทโฟนและที่ใส่บัตร
- ขาตั้งกล้อง
- อแดปเตอร์จ่ายไฟ USB-C
- เคสกันน้ำ
- แท่นชาร์จไร้สาย
วิธีวัดคู่แข่งในตลาด Niche Dropship ของคุณ
การวิเคราะห์คู่แข่งในตลาดที่มีศักยภาพอาจเป็นเรื่องท้าทาย ถ้ามีการแข่งขันมากเกินไป คุณอาจพบความยากลำบากในการสร้างการเข้าชมและแข่งขันกับผู้เล่นที่มีอยู่แล้ว แต่ถ้ามีการแข่งขันน้อยเกินไป อาจบ่งบอกถึงตลาดที่เล็กเกินไป ซึ่งจะจำกัดการเติบโตของธุรกิจคุณ
วิธีที่ดีที่สุดในการวัดการแข่งขันโดยรวมในตลาดคือการตรวจสอบเว็บไซต์ที่ติดอันดับในหน้าแรกของ Google สำหรับคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจง (เว็บไซต์ที่ไม่ได้โฆษณา) ถ้าคุณต้องการสร้างการเข้าชมที่เพียงพอ คุณจะต้องสามารถแข่งขันหรือทำให้เว็บไซต์เหล่านั้นหลุดออกจากอันดับแรกของ Google ได้
จำนวนโดเมนที่เชื่อมโยง
อัลกอริธึมการจัดอันดับของ Google ขึ้นอยู่กับลิงก์เป็นหลัก โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งเว็บไซต์ได้รับลิงก์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสขึ้นอันดับสูงในผลการค้นหามากขึ้น การรู้จำนวนลิงก์ที่ชี้ไปยังเว็บไซต์ช่วยให้คุณมีความเข้าใจว่า คุณจะต้องทำงานหนักแค่ไหน (ในแง่ของการสร้างและเพิ่มลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณเอง) เพื่อให้สามารถแซงคู่แข่ง
มีตัวชี้วัด SEO หลายตัวที่ใช้วัดการแข่งขัน แต่ที่ควรให้ความสนใจมากคือ “ลิงก์จากโดเมนที่ไม่ซ้ำกัน” (หรือที่เรียกว่า “โดเมนลิงก์ที่ไม่ซ้ำกัน”) ซึ่งคือตัวเลขที่แสดงถึงจำนวนโดเมนที่ไม่ซ้ำกัน (หรือแหล่งที่มาที่แตกต่างกัน) ที่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ และไม่รวมลิงก์ซ้ำจากโดเมนเดียวกัน
ชื่อโดเมนสามารถลิงก์ไปยังเว็บไซต์ได้หลายครั้ง แต่นับเป็นเพียงหนึ่งคำแนะนำที่ “ไม่ซ้ำกัน” เท่านั้น ซึ่งนี่คือจุดที่ตัวชี้วัด SEO ทั่วไป เช่น “จำนวนลิงก์ทั้งหมด” อาจให้ภาพที่ไม่ถูกต้องเมื่อวัดความแข็งแกร่งของเว็บไซต์ แต่จำนวนโดเมนที่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจที่ดีกว่าถึงความยากง่ายในการแข่งขัน
เมื่อคุณตรวจสอบผลการค้นหาของ Google คุณจะต้องให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดลิงก์ของเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับต้นๆ (#1 และ #2 ของ Google) รวมถึงตัวชี้วัดลิงก์ของเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับสุดท้ายบนหน้าแรก (#10 ของ Google) สิ่งนี้จะให้ภาพรวมคร่าวๆ ถึงความยากง่ายในการขึ้นอันดับที่ 1 และการเพียงแค่เข้าไปอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหา เว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ถูกค้นหาจะถูกคลิกจากผลการค้นหาสิบอันดับแรกของ Google ดังนั้นการขึ้นอันดับใน 10 อันดับแรกจึงทั้งยากและสำคัญ
มาดูการแปลผลจำนวนโดเมนลิงก์ที่ไม่ซ้ำกันที่ด้านล่าง แม้จะเป็นแค่แนวทางคร่าวๆ แต่จะช่วยให้คุณเข้าใจตัวเลขเหล่านั้นได้ดีขึ้น
- 0 ถึง 50 โดเมนลิงก์ที่ไม่ซ้ำกัน: น่าจะเป็นตลาดที่มีการแข่งขันต่ำสุดสำหรับตลาดที่มีคุณภาพ เว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่มีเนื้อหาคุณภาพและการตลาด SEO ที่เน้นไปที่เป้าหมายจะสามารถสร้างลิงก์จากโดเมนได้ 50 รายภายในหนึ่งปี
- 50 ถึง 250 โดเมนลิงก์ที่ไม่ซ้ำกัน: นี่คือลำดับที่สมจริงสำหรับเว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงในตลาดเฉพาะขนาดกลาง การสร้างโปรไฟล์ลิงก์ในช่วงนี้อาจใช้เวลาหลายปี แต่ก็เป็นไปได้ ตลาดที่มีลักษณะการแข่งขัยแบบนี้มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดโดยเฉพาะสำหรับนักดรอปชิปปิ้งหรือทีมขนาดเล็ก
- 250 โดเมนลิงก์ที่ไม่ซ้ำกันขึ้นไป: เว้นแต่คุณจะเป็นนักการตลาดที่มีทักษะสูงหรือมีความเชี่ยวชาญด้าน SEO การสร้างลิงก์ไม่ซ้ำกันมากกว่า 250 ลิงก์จะต้องใช้เวลามากและมีความมุ่งมั่นสูง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ควรพยายาม แค่ต้องเตรียมพร้อมเผชิญกับการแข่งขันที่แข็งแกร่ง
อำนาจของเว็บไซต์คู่แข่ง
เมื่อกำหนดอันดับของเว็บไซต์ Google ยังพิจารณาคุณภาพของลิงก์ด้วย กล่าวคือ ลิงก์จากบล็อกที่ไม่ค่อยมีผู้อ่านจะไม่สามารถมีค่ามากเท่าลิงก์จาก The New York Times ได้
Google ใช้ PageRank เพื่อวัดความน่าเชื่อถือของหน้าเว็บ นี่คือลักษณะการวัดค่าที่จะช่วยให้คุณได้ทราบว่า Google มองว่าเว็บไซต์ใดสำคัญแค่ไหน ซึ่งการดูค่า PageRank ของหน้าแรกของเว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงจะช่วยให้คุณเข้าใจความสามารถในการแข่งขันในตลาดนั้นๆ
หนึ่งในวิธีในการตรวจสอบ PageRank คือการใช้เครื่องมือเช็ค PageRank เช่น Check PageRank
การตีความค่าของ PageRank สำหรับหน้าแรกของเว็บไซต์เป็นดังนี้
- PageRank 1 ถึง 2: อำนาจโดเมนในระดับนี้ค่อนข้างน้อย ซึ่งหมายถึงตลาดที่ค่อนข้างเล็ก สำหรับเว็บไซต์ที่มี PageRank ในช่วงนี้ อาจจะหมายถึงตลาดที่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยม หรือเป็นตลาดที่ไม่ค่อยมีการแข่งขันมากนัก
- PageRank 3 ถึง 4: นี่เป็นช่วงที่พบได้บ่อยในเว็บไซต์ที่ติดอันดับดีในตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง การจะไปถึงระดับนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป เว็บไซต์ในตลาดที่มี PageRank ในช่วงนี้มักจะเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนดีสำหรับผู้ดรอปชิปที่ทำงานคนเดียว หรือมีทีมเล็กๆ
- PageRank 4 ถึง 5: นี่คือระดับอำนาจโดเมนที่ค่อนข้างสูง เพื่อไปถึงระดับนี้คุณจะต้องมีลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือหลายแห่ง รวมถึงต้องได้รับลิงก์จากแหล่งอื่นๆ ที่มีคุณภาพอีกจำนวนหนึ่ง เว็บไซต์ในตลาดนี้มีการแข่งขันสูงพอสมควร
- PageRank 6 ขึ้นไป: หากเว็บไซต์ของคุณมี PageRank สูงถึง 6 หรือมากกว่านั้น คุณต้องมีทีมการตลาดและ SEO แบบมืออาชีพคอยดูแล เพราะการจะไปถึงระดับนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและการแข่งในตลาดที่มี PageRank สูงเช่นนี้ก็มีความท้าทายอย่างมาก
เมตริกเชิงคุณภาพที่ควรใช้เมื่อวิจัยร้านดรอปชิป
การพิจารณาปัจจัยเชิงคุณภาพบางประการก็เป็นเรื่องสำคัญก่อนที่คุณจะเปิดร้านดรอปชิป
คุณภาพและความเป็นประโยชน์ของเว็บไซต์
ลองเข้าไปดูเว็บไซต์ที่ติดอันดับต้นๆ ในตลาดนั้นและจินตนาการว่าคุณเป็นลูกค้า เว็บไซต์เหล่านั้นดูน่าสนใจและยินดีต้อนรับหรือดูเก่าและล้าสมัยไหม จัดระเบียบที่ดีและใช้งานง่ายหรือไม่ หรือมันยากที่จะหาช่องค้นหาข้อมูล เว็บไซต์นั้นมีข้อมูลที่มีคุณภาพและรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้ามากพอ หรือคุณต้องเพ่งตาเพื่อมองเห็นภาพสินค้าที่มีความละเอียดต่ำ
พูดง่ายๆ คือคุณมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากเว็บไซต์เหล่านั้นมากแค่ไหน ถ้าเว็บไซต์ที่ติดอันดับในตลาดทำให้คุณประทับใจอย่างมาก ก็อาจจะเป็นเรื่องยากในการทำให้ร้านของคุณแตกต่างออกไปและอาจจะต้องพิจารณาตลาดอื่น แต่ถ้ามีโอกาสในการพัฒนาหรือเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น นั่นคือสัญญาณที่ดี
ชื่อเสียงของเว็บไซต์และความภักดีของลูกค้า
ธุรกิจออนไลน์บางแห่งอาจมีชื่อเสียงที่ดีจากการดูแลลูกค้าอย่างดีตลอดหลายปี แม้ว่าการออกแบบเว็บไซต์จะไม่ค่อยน่าสนใจหรือทันสมัยก็ตาม หรือเว็บไซต์ที่ออกแบบสวยอาจมีชื่อเสียงในเรื่องบริการลูกค้าที่แย่ การตัดสินเว็บไซต์จากหน้าตาอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป
ลองตรวจสอบกับ Better Business Bureau เพื่อดูว่ามีประวัติคอมเพลนจากลูกค้าหรือไม่ หรือค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์เพื่อดูความคิดเห็นของผู้คนในโซเชียลมีเดียและฟอรัมออนไลน์ต่างๆ หากคู่แข่งที่ติดอันดับต้นๆ ขาดการบริการที่ดีและไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้ นั่นอาจเป็นโอกาสในการเปิดร้านที่มีการบริการที่ดีกว่า
หมายเหตุสำคัญเกี่ยวกับผลการค้นหา
เมื่อคุณทำการค้นหา Google จะปรับแต่งผลลัพธ์ที่คุณเห็นตามสถานที่ที่คุณอยู่ ประวัติการค้นหาของคุณ และปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคุณ เมื่อคุณวิเคราะห์ตลาด คุณจำเป็นต้องเห็นผลลัพธ์ที่ไม่ถูกปรับแต่ง เพื่อที่จะเข้าใจภาพรวมของการแข่งขันในตลาดได้อย่างถูกต้อง
2 วิธีที่คุณสามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ก็คือ
- การค้นหาผ่านโหมดไม่ระบุตัวตน: คุณสามารถเข้าเว็บโดยใช้โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito) เพื่อให้การตั้งค่าหรือประวัติการค้นหาของคุณไม่ถูกบันทึก และคุณจะได้เห็นผลลัพธ์ที่ไม่ถูกปรับแต่งจากข้อมูลส่วนตัว ลองเริ่มใช้งานโหมดไม่ระบุตัวตนใน Chrome โดยไปที่ File > New Incognito Window หรือคลิกที่ไอคอนมุมขวาบนแล้วเลือก New Incognito Window สำหรับเบราว์เซอร์อื่นๆ ก็มีโหมดคล้ายๆ กันเพื่อล้างประวัติการค้นหา
- การบังคับผลการค้นหาจากภูมิภาคแบบเจาะจง: หากคุณต้องการดูผลการค้นหาจากประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของคุณ คุณสามารถเพิ่มข้อความเล็กน้อยที่ท้าย URL ในหน้าผลการค้นหาของ Google เพื่อให้ได้ผลลัพธ์จากประเทศที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยู่ในสหราชอาณาจักรแต่ต้องการดูผลการค้นหาจากสหรัฐอเมริกา คุณสามารถเพิ่ม “&gl=us” ที่ท้าย URL และกด Enter เพื่อดูผลลัพธ์จากสหรัฐอเมริกาได้
วิธีประสบความสำเร็จในธุรกิจดรอปชิปตลาด Niche
แน่นอนว่า การเลือกสินค้าดรอปชิปที่มีความต้องการสูงและมีการแข่งขันต่ำ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสมการในการสร้างธุรกิจดรอปชิปที่ประสบความสำเร็จ สำหรับการสร้างธุรกิจดรอปชิปให้ประสบความสำเร็จ ควรพิจารณาทำตามขั้นตอนเหล่านี้
ทำความเข้าใจลูกค้าเป้าหมาย
ถ้าคุณคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นธุรกิจในตลาดเฉพาะกลุ่มไหน ลองคิดดูแบบนี้สิ บางครั้งคุณอาจจะต้องหาลูกค้าก่อน ไม่ใช่หาสินค้า
เมื่อคุณรู้แล้วว่าจะขายให้กับใคร (และพวกเขามีปัญหาอะไร) การเลือกสินค้าที่จะขายและวิธีการขายจะตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เพื่อหาว่าคุณควรขายให้ใครและข้อเสนอขายที่แตกต่างจากคู่แข่งของคุณคืออะไร ลองสร้างโปรไฟล์ผู้ซื้อ เพื่อช่วยให้คุณตีวงกลุ่มลูกค้าที่เป็น “ลูกค้าเป้าหมาย” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งโปรไฟล์ลูกค้าของคุณมีรายละเอียดมากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถเข้าใจและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของคุณได้ดีขึ้นเท่านั้น
ผลิตสินค้าของคุณเอง
ในกรณีนี้คุณจะควบคุมการกระจายสินค้าและเป็นแหล่งเดียวที่มีสินค้านั้น ซึ่งจะช่วยลดการแข่งขันและทำให้คุณสามารถตั้งราคาขายได้สูงขึ้น แต่ถ้าคุณตั้งใจที่จะดรอปชิปสินค้าจากผู้ผลิตอื่น คุณก็จะขายสินค้าที่ผลิตโดยผู้ผลิตอื่น ดังนั้นตัวเลือกนี้อาจไม่เหมาะสม
เข้าถึงราคาหรือช่องทางการจัดจำหน่ายพิเศษ
ถ้าคุณสามารถทำข้อตกลงพิเศษในการขายสินค้าบางชนิด หรือสามารถเข้าถึงราคาพิเศษจากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ดรอปชิปได้ คุณก็สามารถทำกำไรจากการขายออนไลน์ได้โดยไม่ต้องสร้างสินค้าของตัวเอง อย่างไรก็ตาม การทำข้อตกลงเหล่านี้อาจเป็นเรื่องยาก และร้านดรอปชิปอื่นๆ หลายร้านก็อาจมีสินค้าหรือราคาขายส่งที่เหมือนกัน
ขายในราคาต่ำสุด
ถ้าคุณสามารถเสนอราคาที่ต่ำที่สุดได้ คุณอาจดึงลูกค้าจากตลาดส่วนใหญ่ได้ แต่ปัญหาคืออะไรล่ะ นี่คือโมเดลธุรกิจที่มักจะล้มเหลว หากราคาต่ำเป็นสิ่งเดียวที่คุณสามารถเสนอได้ คุณจะหลงไปในสงครามราคาที่ทำให้กำไรแทบจะหายไปทั้งหมด การแข่งขันกับ Amazon หรือยักษ์ใหญ่ในโลกออนไลน์ด้วยราคาไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีนัก
เพิ่มมูลค่าในแง่ที่ไม่เกี่ยวกับราคา
การให้ข้อมูลที่มีคุณค่าเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นและสามารถตั้งราคาขายสูงขึ้นได้ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจะมองหาวิธีแก้ปัญหาของลูกค้า และในโลกของอีคอมเมิร์ซและดรอปชิปก็เช่นกัน การให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาเชิงลึกในตลาดเฉพาะกลุ่มของคุณคือวิธีที่ดีในการเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิป
เพิ่มมูลค่าในอีคอมเมิร์ซ
สินค้าบางชนิดและตลาด Niche บางตลาด เหมาะกับกลยุทธ์นี้มากกว่าผลิตภัณฑ์หรือตลาดอื่นๆ คุณควรหาลักษณะบางอย่างของสินค้าที่ทำให้การเพิ่มมูลค่าผ่านคอนเทนต์ให้ความรู้เป็นเรื่องง่ายขึ้น
สินค้ามีหลายส่วนประกอบ
ยิ่งสินค้ามีหลายส่วนประกอบที่ต้องใช้เพื่อให้ใช้งานได้ดี ลูกค้ามักจะหันไปหาคำตอบจากอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การซื้อผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงอาจจะไม่ยากเท่ากับการซื้อระบบกล้องวงจรปิดที่ต้องมีการเชื่อมต่อหลายกล้อง สายไฟที่ซับซ้อน และมีเครื่องบันทึก ยิ่งสินค้ามีหลายส่วนประกอบมากเท่าไหร่และมีความหลากหลายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับความเข้ากันได้ของผลิตภัณฑ์มากขึ้น
สินค้าปรับแต่งได้หรือซับซ้อน
สินค้าที่ปรับแต่งได้หรือซับซ้อนก็เป็นอีกประเภทที่เหมาะกับการเพิ่มมูลค่าผ่านเนื้อหา เช่น การเลือกติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์น้ำร้อนที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ หรือการเลือกระบบปลอกคอสุนัขไร้สายที่เหมาะกับขนาดและพื้นที่ของสวน การให้คำแนะนำเฉพาะเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือลูกค้าแต่ละประเภทจะเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มมูลค่า
ต้องการการติดตั้งหรือการตั้งค่า
สินค้าที่ต้องการการตั้งค่า ติดตั้ง หรือประกอบยากๆ ก็เหมาะสำหรับการเพิ่มมูลค่าเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์ขายกล้องวงจรปิดมีคู่มือการติดตั้ง 50 หน้า ซึ่งครอบคลุมข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการติดตั้ง หากคุณคิดว่าคู่มือช่วยประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากได้ คุณก็น่าจะเลือกซื้อสินค้าจากเว็บไซต์นั้น แม้ว่าราคาจะถูกกว่าที่อื่นเพียงเล็กน้อย คู่มือที่มีประโยชน์เหล่านี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับเจ้าของร้าน แต่เพิ่มมูลค่าให้ลูกค้าได้มาก
คุณสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับตลาดที่ซับซ้อนหรือสับสนได้หลายวิธี เช่น
- สร้างคู่มือการเลือกซื้อที่ละเอียด
- ลงทุนในการเขียนรายละเอียดสินค้าและลงประกาศสินค้าอย่างถี่ถ้วน
- สร้างคู่มือการติดตั้งและการตั้งค่า (ตามที่ได้กล่าวถึงข้างต้น)
- สร้างวิดีโอสาธิตวิธีการใช้งานผลิตภัณฑ์
- สร้างระบบที่เข้าใจง่ายเพื่อเลือกส่วนประกอบที่เข้ากันได้
ทำงานกับบริษัทดรอปชิปที่ดี
เมื่อคุณเปิดร้านอีคอมเมิร์ซดรอปชิป สิ่งสำคัญคือการเลือกซัพพลายเออร์หรือผู้ค้าส่งที่ดี เพราะพวกเขาสามารถช่วยคุณในการคำนวณต้นทุนการจัดส่ง กำหนดราคาสินค้า และทำให้การจัดการดรอปชิปเป็นไปโดยอัตโนมัติ รวมถึงช่วยให้คุณหาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของร้านได้ง่ายขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น AliExpress ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดและมีสินค้ามากมายให้เลือก คุณสามารถเลือกสินค้าท็อปเซลล์มาจากที่นี่ หรือใช้เครื่องมือช่วยค้นหาผลิตภัณฑ์ดรอปชิปอย่าง Oberlo เพื่อค้นหา จัดการ และขายสินค้าผ่าน Shopify ของคุณ นอกจากนี้ ดรอปชิป Amazon ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน
ตลาดดรอปชิปเฉพาะกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง
ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสมากมายในธุรกิจดรอปชิป แต่บางตลาดก็ไม่เหมาะสำหรับการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน เนื่องจากมีการแข่งขันสูง หรืออาจมีปัญหาที่ต้องระวัง เช่น อัตราการคืนสินค้าสูง หรือความท้าทายอื่นๆ ที่ทำให้การทำกำไรเป็นเรื่องยาก
ตลาดบางประเภทที่ควรหลีกเลี่ยง มีดังนี้
- นาฬิกา: ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสทำกำไรสูงจากการขายนาฬิกา แต่ตลาดนี้กลับมีการแข่งขันที่สูงมาก ทำให้การหากำไรยากขึ้น สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องนาฬิกามากพอ การเลือกนาฬิกาคุณภาพต่ำมาขายอาจจะทำให้ขายไม่ได้เลย
- เสื้อผ้า: ตลาดเสื้อผ้ามีตัวเลือกมากมายให้เลือก แต่ก็เต็มไปด้วยการแข่งขันที่เข้มข้น ทำให้ยากที่จะโดดเด่นและทำการขายครั้งแรกได้
- ผลิตภัณฑ์สุขภาพ: ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์สุขภาพจะได้รับความนิยม แต่การขายก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งอาจจะขายยาก และยังต้องระวังเรื่องข้อกฎหมายจากการอ้างสิทธิ์ที่ผิดพลาดหรือหลอกลวงด้วย
สร้างร้านดรอปชิปของคุณวันนี้กับ Shopify
คุณอาจเคยได้ยินคำแนะนำที่ว่า “แค่ทำตามสิ่งที่ใจรักก็พอ” แต่คำแนะนำนี้จัดว่าอันตราย เพราะอาจทำให้ผู้ประกอบการมือใหม่หลงทางได้
โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลือกสินค้าที่มีความต้องการสูงหรือสินค้าที่จะประสบความสำเร็จ ความรักที่คุณมีต่อฟิกเกอร์ Star Wars ไม่ได้หมายความว่าเป็นนั่นตลาดจะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่ดีสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ของคุณ ถ้าคุณต้องการสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ควรเลือกตลาดที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับความสำเร็จออนไลน์แทนการตามความหลงใหลเพียงอย่างเดียว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตลาดเฉพาะกลุ่มสำหรับดรอปชิป
ตลาด Niche ไหนดีที่สุดสำหรับดรอปชิป
เหมือนกับที่ไม่มีเทคนิคการตลาดหรือเทคนิคการขายที่ดีที่สุด ก็ไม่มี “ตลาดเฉพาะกลุ่ม” ที่ดีที่สุดสำหรับดรอปชิปเช่นกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ทรัพยากร และประสบการณ์ของคุณ แต่ละตลาดมีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณา แต่ลองมาดูตลาดที่น่าสนใจกัน ดังนี้
- ความยั่งยืน
- เครื่องประดับแฟชั่น
- สินค้าครัวเรือนและวัตถุดิบ
- บ้านและห้องนอน
- ผลิตภัณฑ์สำนักงาน
- อุปกรณ์กล้องและโทรศัพท์มือถือ
- อุปกรณ์รถยนต์
- กีฬาและกิจกรรมกลางแจ้ง
- ของเด็กและทารก
- ความยั่งยืน
- อุปกรณ์เสริมแฟชั่น
- ครัวและของชำ
- บ้านและห้องนอน
- ผลิตภัณฑ์สำนักงาน
- อุปกรณ์กล้องและโทรศัพท์มือถือ
- อุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์
- กีฬาและกลางแจ้ง
- เด็กและทารก
การขายเสื้อผ้าเป็นตลาด Niche Dropship ที่ดีหรือไม่
การขายเสื้อผ้าอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการเริ่มต้นดรอปชิป เพราะคุณมีตัวเลือกมากมายให้เลือก แต่ก็ต้องระวังเพราะเสื้อผ้าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงมากในปัจจุบัน ซึ่งอาจทำให้ยากต่อการขยายธุรกิจ
วิธีหาตลาด Niche Dropship สามารถทำได้อย่างไร
- ทำการวิจัยตลาดโดยใช้เครื่องมืออย่าง Google Trends และ Meta Audience Insights
- สำรวจรายชื่อตลาดเฉพาะกลุ่มที่ดีที่สุดสำหรับดรอปชิป
- วัดระดับการแข่งขันในตลาดที่คุณเลือก
- ประเมินกำไรที่อาจจะเกิดขึ้นจากตลาดนั้น
- ศึกษาเทรนด์ในอนาคตของตลาดที่คุณสนใจ