การวิเคราะห์คู่แข่ง ช่วยให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจสิ่งที่คู่แข่งกำลังทำ และค้นหาโอกาสในการแข่งขันที่เหนือกว่า
การทำการวิเคราะห์คู่แข่ง เป็นกระบวนการค้นหาจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน ผ่านการศึกษาสินค้า ยอดขาย และกลยุทธ์ทางการตลาดของคู่แข่ง เพื่อช่วยกำหนดทิศทางที่เหมาะสมสำหรับกลยุทธ์ทางธุรกิจของคุณ
การวิเคราะห์คู่แข่งมีประโยชน์สำหรับธุรกิจในทุกช่วงเวลา แต่ควรเริ่มต้นอย่างไร? บทความนี้จะแนะนำวิธีทำ การวิเคราะห์คู่แข่ง อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ
มีเทมเพลตการวิเคราะห์คู่แข่งฟรี ที่ช่วยให้กระบวนการวิเคราะห์เป็นเรื่องง่ายขึ้น
สารบัญลัด
- ตัวอย่างการวิเคราะห์คู่แข่ง
- วิธีทำการวิเคราะห์คู่แข่ง
- เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่งเหล่านี้
- เทมเพลตการวิเคราะห์คู่แข่ง
- 6 ข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาด
- การวิเคราะห์คู่แข่ง เครื่องมือสร้างความได้เปรียบของธุรกิจ
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวิเคราะห์คู่แข่ง
ตัวอย่างการวิเคราะห์คู่แข่ง
ไม่มีรูปแบบตายตัวในการทำการวิเคราะห์คู่แข่ง วิธีการวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของธุรกิจและข้อมูลวิจัยตลาดที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับคู่แข่ง
คุณอาจเลือกวิเคราะห์เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของคู่แข่ง เช่น เว็บไซต์ หรืออาจทำการวิเคราะห์แบบ ครบวงจร ครอบคลุมทั้ง กลยุทธ์การตลาดและทีมขาย จุดประสงค์คือช่วยให้เข้าใจแนวทางของคู่แข่งและกำหนดกลยุทธ์ตอบสนองอย่างเหมาะสม
การวิเคราะห์คู่แข่งสามารถมีโครงสร้างได้หลากหลาย โดยทั่วไปมักรวมถึงข้อมูลต่อไปนี้
- กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ของคู่แข่ง
- จุดขายหลัก (Unique Value Proposition) หรือสิ่งที่ทำให้สินค้าของพวกเขาแตกต่าง
- กลยุทธ์การขาย (Sales Pitch)
- ระดับราคา (Pricing Strategy)
- นโยบายการจัดส่ง (Shipping Policy)
- เงินทุนและการสนับสนุนทางธุรกิจ (Funding)
ข้อมูลเชิงลึกที่ควรวิเคราะห์ในคู่แข่ง ข้อมูลเชิงภาพรวมช่วยให้คุณเข้าใจ ความแตกต่างหลักระหว่างคู่แข่ง แต่หากต้องการเจาะลึกลงไป การวิเคราะห์แบบเฉพาะเจาะจง สามารถทำได้โดยดูจากปัจจัยต่อไปนี้
- ฟีเจอร์บนเว็บไซต์ (การออกแบบ, เนื้อหา)
- ประสบการณ์ของลูกค้า (ขั้นตอนเช็คเอาต์, การบริการลูกค้า)
- เนื้อหาการตลาด (คำอธิบายสินค้า, บทความบล็อก)
- โซเชียลมีเดีย (ความถี่ในการโพสต์, อัตราการมีส่วนร่วม)
- โปรโมชั่น (ส่วนลด, แคมเปญลดราคา)
- การสื่อสาร (อีเมลติดตามตะกร้าสินค้าที่ถูกละทิ้ง, จดหมายข่าว)
- รีวิวจากลูกค้า (ความคิดเห็น, ข้อร้องเรียน)
สิ่งที่รวมอยู่ในการวิเคราะห์คู่แข่งขึ้นอยู่กับเป้าหมายของธุรกิจ ใช้ข้อมูลที่ได้เพื่อตอบคำถามสำคัญ และนำไปสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต
อยากเห็นตัวอย่างมั้ย? มาดูรูปแบบการวิเคราะห์คู่แข่งแบบง่ายๆ พร้อมกัน
ทำไมการวิเคราะห์คู่แข่งถึงสำคัญกับอีคอมเมิร์ซ?
การเข้าใจคู่แข่งทำให้แข่งขันได้ง่ายขึ้น การรู้ว่าคู่แข่งทำอะไรช่วยให้คุณวางแผนรับมือได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับกลยุทธ์การตั้งราคา การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย หรือแม้แต่การนำแนวทางที่ดีมาใช้กับธุรกิจของคุณ
มุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับตลาดอีคอมเมิร์ซยังช่วยให้คุณเห็นถึง จุดแข็งและจุดขายของธุรกิจที่ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง
หากกำลังเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การวิเคราะห์คู่แข่งช่วยให้คุณ
- ตัดสินใจด้านการตลาดอย่างมีข้อมูล
- ระบุแนวโน้มในอุตสาหกรรม
- เปรียบเทียบกับคู่แข่ง (Benchmarking)
- ค้นหาจุดขายเฉพาะตัว (Unique Value Proposition)
- กำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสม
- ค้นหาวิธีใหม่ๆ ในการสื่อสารกับลูกค้า
- ตรวจสอบจุดอ่อนในกลยุทธ์การตลาดหรือไลน์สินค้า
การวิเคราะห์คู่แข่งเป็นเอกสารที่ควรอัปเดตอย่างต่อเนื่อง
เมื่อธุรกิจเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสินค้าใหม่ การปรับกลยุทธ์การตลาด หรือการขยายไปสู่ตลาดใหม่ การมีเอกสารการวิเคราะห์คู่แข่งที่เป็นปัจจุบันจะช่วยให้คุณใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังช่วยเปิดโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ และระบุจุดที่การแข่งขันสูง ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการตัดสินใจในระยะยาว
วิธีทำการวิเคราะห์คู่แข่ง
จัดระเบียบการวิจัยคู่แข่งของคุณโดยทำตาม 7 ขั้นตอนต่อไปนี้
1. เลือกคู่แข่ง 7–10 ราย
หากยังไม่แน่ใจว่าคู่แข่งของคุณคือใคร ลองมองจากมุมมองของลูกค้าและค้นหาสินค้าหรือบริการของคุณบน Google, Amazon หรือมาร์เก็ตเพลสที่เกี่ยวข้อง จากนั้นระบุคู่แข่งที่มีลักษณะดังนี้
- ขายสินค้าคล้ายกัน
- มีแนวคิดหรือพันธกิจที่คล้ายกัน
- ทำการตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
- เป็นผู้เล่นใหม่ในตลาด
- เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในตลาดอยู่แล้ว
การมีรายชื่อคู่แข่งที่หลากหลายจะช่วยให้เห็นมุมมองที่แตกต่าง และเข้าใจว่าธุรกิจแต่ละรายตอบสนองต่อความท้าทายในตลาดอย่างไร
2. สร้างสเปรดชีต
เมื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่ง ควรจัดระเบียบข้อมูลในตารางหรือสเปรดชีต ซึ่งจะช่วยให้สามารถอัปเดตข้อมูลได้ง่ายขึ้นในอนาคต ภายในเอกสาร ควรแบ่งเป็นหมวดหมู่เพื่อเปรียบเทียบคู่แข่งตาม เป้าหมายการวิจัย เช่น
- ช่วงราคาสินค้า
- สินค้าที่นำเสนอ
- การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย
- กลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้าใหม่
- ข้อเสนอสำหรับลูกค้าครั้งแรก
3. เลือกคู่แข่งทางตรงและคู่แข่งทางอ้อม
จัดหมวดหมู่ธุรกิจแต่ละรายในสเปรดชีตเป็นคู่แข่งทางตรง คู่แข่งทางอ้อม หรือคู่แข่งระดับรอง เพื่อช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขากับธุรกิจของคุณ
- คู่แข่งทางตรง (Direct competitors) – ขายสินค้าและบริการที่คล้ายกันให้กับกลุ่มลูกค้าเดียวกัน เช่น Nike และ Adidas
- คู่แข่งทางอ้อม (Indirect competitors) – นำเสนอสินค้าที่อยู่ในช่วงราคาที่สูงหรือต่ำกว่าของคุณ และเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน เช่น Victoria’s Secret และ Walmart
- คู่แข่งระดับรอง (Tertiary competitors) – เป็นแบรนด์ที่ทำการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน แต่ไม่ได้ขายสินค้าประเภทเดียวกันหรือแข่งขันโดยตรง อาจเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต หรืออาจกลายเป็นคู่แข่ง เช่น Gatorade และ Under Armour
4. วิเคราะห์การวางตำแหน่งทางการตลาดของคู่แข่ง
การวางตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการทำการตลาดของธุรกิจที่ช่วยเชื่อมโยงแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย และกำหนดแนวทางการสื่อสารและคุณค่าของแบรนด์
การเข้าใจการวางตำแหน่งของคู่แข่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้คุณเรียนรู้ว่าคู่แข่งสื่อสารกับลูกค้าอย่างไร และช่วยให้แบรนด์ของคุณสร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และเกี่ยวข้องกับตลาดเป้าหมาย
ช่องทางที่ควรวิเคราะห์เพื่อดูการวางตำแหน่งของคู่แข่ง
- โซเชียลมีเดีย
- ข่าวประชาสัมพันธ์
- เนื้อหาเว็บไซต์
- อีเวนต์ที่จัดหรือเข้าร่วม
- บทสัมภาษณ์
- คำอธิบายสินค้า
คำถามที่ควรพิจารณา เพื่อตรวจสอบการวางตำแหน่งของคู่แข่ง
- เรื่องราวที่แบรนด์กำลังเล่าให้ลูกค้าฟังคืออะไร?
- มีการอธิบายสินค้าของพวกเขาอย่างไร?
- พวกเขานำเสนอภาพลักษณ์ของบริษัทในรูปแบบใด?
- อะไรคือคุณค่าที่ทำให้แบรนด์แตกต่าง?
การเข้าใจว่าคู่แข่งมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตาม ลูกค้า และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไร จะช่วยให้คุณสามารถกำหนดตำแหน่งของแบรนด์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในตลาด
5. วิเคราะห์ข้อได้เปรียบทางการแข่งขันและจุดขายของคู่แข่ง
ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักขายสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์หรือมอบประสบการณ์ที่โดดเด่น ซึ่งอาจเป็นฟีเจอร์นวัตกรรม สูตรลับเฉพาะ หรือการบริการลูกค้าที่เหนือชั้น
ข้อเสนอเหล่านี้เรียกว่า ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) หรือ จุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ (Unique Selling Proposition - USP) ตัวอย่างเช่น
- ร้านค้าปลีกแฟชั่นอาจมีข้อได้เปรียบจากสินค้าคุณภาพสูงและการจัดส่งที่รวดเร็ว
- ผู้ให้บริการคอร์สเรียนออนไลน์อาจใช้ประสบการณ์ในอุตสาหกรรมกว่า 20 ปี เป็น USP
พิจารณาสินค้าและบริการของคู่แข่ง และวิเคราะห์ว่าจุดแข็งของพวกเขาคืออะไร แบรนด์ของพวกเขามักเชื่อมโยงกับข้อเสนอที่โดดเด่นเหล่านี้
อ่านรีวิวจากลูกค้า เพื่อเข้าใจว่าทำไมกลุ่มเป้าหมายถึงเลือกซื้อสินค้าจากคู่แข่ง พวกเขาอาจชื่นชอบราคาที่ถูกกว่า วัสดุพรีเมียมหรือแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้เกี่ยวกับข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดของคุณจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควร แข่งขันในด้านใดและไม่ควรแข่งขันในด้านใด
6. ศึกษาวิธีที่คู่แข่งทำการตลาดสินค้า
ร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จมักเหนือกว่าคู่แข่งด้วยกลยุทธ์การตลาด ไม่ใช่แค่ตัวสินค้าเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องแข่งขันในทุกช่องทางการตลาด เพียงเพราะต้องการให้ลูกค้าเห็นแบรนด์ของคุณเสมอไป ใช้การวิเคราะห์คู่แข่งเพื่อศึกษาว่าพวกเขาเข้าถึงลูกค้าอย่างไร และมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่ช่องทางไหน บางธุรกิจอาจใช้ Instagram เป็นหลักในการทำการตลาด หรือบางรายอาจเน้นดึงทราฟฟิกผ่านบทความบล็อกที่ให้ข้อมูลเชิงลึก
วิธีเก็บข้อมูลการตลาดของคู่แข่ง คือการใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล หรือ ลองสวมบทบาทเป็นลูกค้า เพื่อสัมผัสประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการตลาดของคู่แข่ง โดยสามารถทำได้ดังนี้
- สมัครรับจดหมายข่าว (Newsletter)
- กดติดตามบล็อกของพวกเขา
- ติดตามคู่แข่งบนโซเชียลมีเดีย
- ทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้าสินค้าโดยไม่กดซื้อ
- ลองสั่งซื้อสินค้าจากคู่แข่ง
เมื่อคุณศึกษาและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งแล้ว จะสามารถตัดสินใจได้ว่าควรแข่งขันในช่องทางที่ได้รับความนิยม หรือหาช่องทางอื่นที่ยังมีโอกาสอยู่ ข้อมูลเชิงลึกจากขั้นตอนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทีมขายและทีมการตลาดในการพัฒนาแผนงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
7. ทำการวิเคราะห์ SWOT
พิจารณา ทำการวิเคราะห์ SWOT เพื่อเสริมข้อมูลที่คุณรวบรวมมาได้ SWOT เป็นกรอบการวิเคราะห์คู่แข่งที่ช่วยให้คุณเข้าใจ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความท้าทายของธุรกิจ โดยเปรียบเทียบกับคู่แข่งเพื่อค้นหาสิ่งที่สามารถปรับปรุงได้
จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) เป็นปัจจัยภายในที่สามารถควบคุมและปรับเปลี่ยนได้ เช่น
- สินค้าและบริการที่นำเสนอ
- ความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
- ทรัพย์สินทางปัญญา
- จำนวนพนักงาน
- ส่วนแบ่งตลาด
- สินทรัพย์ที่ธุรกิจมีอยู่
โอกาส (Opportunities) และความท้าทาย (Threats) เป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่สามารถวางแผนรับมือได้ เช่น
- สินค้าของคู่แข่ง
- สภาพเศรษฐกิจ
- แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค
- กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
- ขนาดตลาด
- ความต้องการของตลาด
ควรทำการวิเคราะห์ SWOT อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์จุดคุ้มทุน และช่วยให้คุณติดตามสภาพการแข่งขันในตลาด หากต้องการขอรับเงินทุน ควรรวม SWOT ที่อัปเดตไว้ในแผนธุรกิจของคุณ
🎯ทิปส์: หากต้องการเขียนแผนธุรกิจแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ลองใช้ตัวอย่างเทมเพลตแผนธุรกิจ นี้ เทมเพลตนี้ถูกใช้โดยผู้ประกอบการหลายพันรายในการสร้างแผนธุรกิจของตัวเอง และที่สำคัญ ใช้งานได้ฟรี
เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่งเหล่านี้
เมื่อระบุคู่แข่งที่ต้องศึกษาชัดเจนแล้ว ก็ถึงเวลาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลสำหรับ การวิเคราะห์คู่แข่ง ข่าวดีคือมีเครื่องมือและซอฟต์แวร์มากมายที่ช่วยให้การเก็บข้อมูลเป็นเรื่องง่ายขึ้น
มาดูแหล่งข้อมูลที่ช่วยให้คุณเข้าใจ คีย์เวิร์ด กลยุทธ์คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง โซเชียลมีเดีย และอื่นๆ ของคู่แข่งได้ดียิ่งขึ้น
การวิเคราะห์ SEO
- Ahrefs: ดูคีย์เวิร์ดที่ทำงานได้ดีที่สุดและปริมาณทราฟฟิกโดยประมาณของคู่แข่ง
- SE Ranking: ตรวจสอบประสิทธิภาพการค้นหาแบบชำระเงินและแบบออร์แกนิกของคู่แข่ง
ประสิทธิภาพ PPC/คีย์เวิร์ด
- SimilarWeb: วิเคราะห์จำนวนผู้เข้าชมรายเดือนโดยประมาณและทราฟฟิก เพื่อประเมินส่วนแบ่งตลาดของคู่แข่ง
- SpyFu: ดาวน์โหลดคีย์เวิร์ดที่ทำกำไรสูงสุดจากแคมเปญ PPC ของคู่แข่ง
- iSpionage: ดูว่าคู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดใดบน Google Ads รวมถึงงบประมาณรายเดือนที่คาดการณ์ไว้
- SEMrush: วิเคราะห์เว็บไซต์คู่แข่งและตรวจสอบแบ็คลิงก์
ประสิทธิภาพโซเชียลมีเดีย
- RivalIQ: ดูความถี่ในการโพสต์บนโซเชียลมีเดีย อัตราการมีส่วนร่วมเฉลี่ย และคอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของคู่แข่ง
- Followerwonk: วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้ติดตามบน Twitter (ปัจจุบันคือ X) รวมถึงข้อมูลประชากรและผู้มีอิทธิพลหลัก
- Sprout Social: วัดผลการดำเนินงานของคู่แข่งบนทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย
การตลาดผ่านอีเมล
- Owletter: วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงและระบุแนวโน้มในกลยุทธ์อีเมลของคู่แข่ง
- MailCharts: รวบรวมอีเมลเพื่อดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความถี่ในการส่ง เทคนิคการใช้หัวข้ออีเมล และอื่นๆ
ประสิทธิภาพคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง
- BuzzSumo: ค้นหาเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับหัวข้อทั่วไปและคู่แข่งเฉพาะราย
- Monitor Backlinks: ติดตามแบ็คลิงก์และรับการแจ้งเตือนทุกครั้งที่มีคนอ้างอิงถึงเนื้อหาของคุณหรือของคู่แข่ง
ใช้แหล่งข้อมูลเหล่านี้เพื่อรวบรวมข้อมูลและบันทึกลงในสเปรดชีตวิเคราะห์คู่แข่ง เพื่อจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดในที่เดียวอย่างเป็นระเบียบ
เทมเพลตการวิเคราะห์คู่แข่ง
หากไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นการวิเคราะห์คู่แข่งอย่างไร ลองใช้ตัวอย่างเทมเพลตนี้เป็นแนวทาง
สมมติว่าคุณขายแปรงแต่งหน้า เมื่อต้องการเปรียบเทียบกลยุทธ์ของคู่แข่งและหาจุดที่ทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่น คุณอาจสร้างตารางวิเคราะห์ในลักษณะนี้:
เพิ่มหมวดหมู่ที่จำเป็นลงในเทมเพลตได้ตามต้องการ แต่ควรรักษาจำนวนคู่แข่งหลักและคู่แข่งรองไว้ที่ไม่เกิน 10 ราย เพื่อให้ข้อมูลยังคงเกี่ยวข้องและไม่ซับซ้อนจนเกินไป
คุณต้องการเทมเพลตการวิเคราะห์คู่แข่ง เพื่อช่วยให้กระบวนการทำงานง่ายและรวดเร็วขึ้นหรือไม่?
6 ข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาด
เมื่อเข้าใจวิธีทำการวิเคราะห์คู่แข่งแล้ว มาดูข้อผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อข้อมูลเชิงลึกที่ได้กัน
1. การวิเคราะห์คู่แข่งไม่ใช่สิ่งที่ทำเพียงครั้งเดียวแล้วจบ
หากไม่มีการอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เห็นภาพที่ผิดพลาดและนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การวิเคราะห์คู่แข่งจึงควรเป็นกระบวนการที่ทำอย่างสม่ำเสมอ
2. อคติยืนยันมีอยู่จริง
เรามักมีแนวโน้มที่จะเชื่อในสมมติฐานแรกของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า อคติยืนยัน (confirmation bias) ขณะวิเคราะห์ข้อมูล ลองตั้งคำถามกับแนวคิดที่มีเกี่ยวกับคู่แข่ง และให้ข้อมูลเป็นตัวกำหนดภาพรวมที่เป็นกลางของตลาดการแข่งขัน
3. ข้อมูลที่ไม่มีการนำไปใช้ไม่มีประโยชน์
หากลงทุนเวลาทำการวิเคราะห์คู่แข่งแล้ว อย่าปล่อยให้ข้อมูลเหล่านั้นกลายเป็นเพียงไฟล์ที่ไม่มีใครแตะต้อง ควรนำผลวิเคราะห์มาสร้างแผนกลยุทธ์ เพื่อตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของคู่แข่งด้วยการปรับปรุงแผนธุรกิจของตัวเอง
4. ทำงานหนักแทนที่จะทำงานให้ฉลาดขึ้น
ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ควรใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลล่าสุดที่ช่วยให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องโดยไม่ต้องใช้แรงงานมากเกินไป ทุกวันนี้มีเครื่องมือที่ช่วยเร่งกระบวนการศึกษาคู่แข่ง และให้ข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
5. เริ่มต้นโดยไม่มีทิศทาง
หากขาดเป้าหมายที่ชัดเจน การวิเคราะห์คู่แข่งอาจไม่มีประสิทธิภาพ และหาข้อมูลที่นำไปใช้ได้ยาก ก่อนเริ่มต้น ควรกำหนดเป้าหมายให้ชัดว่าต้องการเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับคู่แข่ง
6. ไม่คำนึงถึงจังหวะของตลาด
เมื่อศึกษาข้อมูลของคู่แข่ง อย่ามองเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ควรดูแนวโน้มการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจเหล่านั้นในระยะยาว
บางครั้ง การเข้าใจว่าคู่แข่งพัฒนาอย่างไรในอดีต อาจมีค่ามากกว่าการดูเพียงกลยุทธ์ปัจจุบันของพวกเขา การศึกษาเส้นทางความสำเร็จของธุรกิจที่คล้ายกันจะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
การวิเคราะห์คู่แข่ง เครื่องมือสร้างความได้เปรียบของธุรกิจ
ข้อมูลเชิงการแข่งขัน มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่กำลังเริ่มต้น การวิเคราะห์ตลาดอย่างต่อเนื่องช่วยให้ธุรกิจอยู่เหนือการแข่งขัน สามารถขยายตลาด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และติดตามพฤติกรรมลูกค้าของคู่แข่งได้ ทำให้ธุรกิจหรือสตาร์ทอัพสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวิเคราะห์คู่แข่ง
การวิเคราะห์คู่แข่งคืออะไร?
การวิเคราะห์คู่แข่งเป็นเอกสารวิจัยที่เปรียบเทียบธุรกิจของคุณกับคู่แข่ง โดยการประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง จะช่วยให้คุณค้นหาโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ
การวิเคราะห์คู่แข่งประกอบด้วยอะไรบ้าง?
- กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคู่แข่ง
- ส่วนแบ่งตลาดของพวกเขา
- ข้อได้เปรียบหลักของคู่แข่ง
- คุณสมบัติสำคัญของผลิตภัณฑ์
- ระดับราคาสินค้าบนแพลตฟอร์มต่างๆ
- นโยบายการจัดส่งสินค้า
- ข้อมูลเกี่ยวกับเงินทุนหรือการลงทุนจาก VC ของคู่แข่ง
วิธีเขียนการวิเคราะห์คู่แข่ง
- เลือกคู่แข่ง 7-10 ราย
- สร้างสเปรดชีตเพื่อติดตามข้อมูล
- กำหนดประเภทของคู่แข่ง
- วิเคราะห์การวางตำแหน่งทางการตลาด
- ระบุข้อได้เปรียบทางการแข่งขันและจุดแข็งของธุรกิจ
- ศึกษากลยุทธ์การตลาดของคู่แข่ง
- ทำการวิเคราะห์ SWOT
SWOT ถือเป็นการวิเคราะห์คู่แข่งหรือไม่?
SWOT เป็นกรอบการวิเคราะห์คู่แข่งที่ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ทางธุรกิจปัจจุบัน โดย SWOT ย่อมาจาก Strengths (จุดแข็ง), Weaknesses (จุดอ่อน), Opportunities (โอกาส), และ Threats (ความเสี่ยง)