การได้เป็นนายตัวเองเป็นความฝันของหลายคน หลายคนต้องการอิสระในการสร้างสรรค์ กำหนดเวลาทำงานเอง และมีความยืดหยุ่นในชีวิตแบบที่เจ้าของธุรกิจสามารถทำได้
แต่เบื้องหลังความสำเร็จมีงานที่ต้องทำมากมาย การเป็นเจ้าของธุรกิจไม่ใช่แค่ไอเดียที่ดี แต่เกี่ยวข้องกับการวางแผน กลยุทธ์ และการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง หากเคยคิดอยากเริ่มต้นแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ นี่คือ 7 ขั้นตอนที่ช่วยให้คุณก้าวสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจได้ง่ายขึ้น
วิธีเป็นเจ้าของธุรกิจใน 7 ขั้นตอน
- หาไอเดียธุรกิจที่ทำกำไรได้
- พัฒนาสินค้าหรือบริการ
- ทดสอบความต้องการของตลาด
- เขียนแผนธุรกิจ
- หาแหล่งเงินทุน
- เปิดตัวธุรกิจ
- บริหารและขยายธุรกิจ
1. หาไอเดียธุรกิจที่ทำกำไรได้
การเลือกประเภทสินค้าเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจออนไลน์ และถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุด
แม้ว่า "สินค้าที่สมบูรณ์แบบ" อาจไม่มีอยู่จริง แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการเลือกสินค้าหรือกลุ่มตลาดที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าล้มเหลว ลองใช้เกณฑ์ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของสินค้าที่กำลังพิจารณา และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้มากขึ้น
สินค้าของคุณตอบโจทย์อะไร – ความชอบหรือปัญหาของลูกค้า?
การขายสินค้าที่ตอบโจทย์ความชอบหรือช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าเป็นข้อได้เปรียบเสมอ นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการตลาดได้อีกด้วย
ถ้าสินค้าช่วยแก้ปัญหาได้จริง หรือเป็นสิ่งที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ลูกค้าเป้าหมายก็มักจะเป็นฝ่ายมองหามันเอง แทนที่จะต้องทุ่มงบไปกับการตลาดเพื่อให้เป็นที่รู้จัก
สินค้าของคุณเป็นแฟด เทรนด์ หรืออยู่ในตลาดที่กำลังเติบโต?
การเลือกขายสินค้าที่อยู่ในกระแสเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบ แฟด อาจให้ผลตอบแทนดีแต่มีความเสี่ยงสูง เทรนด์ อาจทำเงินได้ถ้าจับจังหวะถูกต้อง ตลาดที่มั่นคง มีความเสี่ยงต่ำแต่โอกาสเติบโตอาจจำกัด ส่วน ตลาดที่กำลังเติบโต มักเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
การเข้าใจว่าสินค้าของคุณอยู่ในหมวดหมู่ไหนจะส่งผลอย่างมากต่อโอกาสความสำเร็จของธุรกิจ ลองมาดูความแตกต่างของแต่ละประเภท พร้อมตัวอย่างจากโลกธุรกิจจริง
แฟด (Fad)
แฟดคือสินค้าหรือกระแสที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว แต่ก็หายไปเร็วเช่นกัน ถ้าเข้าและออกจากตลาดถูกจังหวะ อาจทำกำไรได้สูง แต่ความไม่แน่นอนก็สูงมากเช่นกัน จึงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา และอาจกลายเป็นความผิดพลาดที่ส่งผลต่อธุรกิจในระยะยาว
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Fidget Spinner ของเล่นหมุนมือที่ได้รับความนิยมสุดขีดในปี 2017 ช่วงหนึ่งกลายเป็นสินค้าที่ทุกคนต้องมี แต่หลังจากนั้นไม่นานความสนใจก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และแทบไม่มีใครพูดถึงอีกเลย
เทรนด์ (Trend)
เทรนด์คือทิศทางของตลาดที่ค่อยๆ เติบโตและได้รับความนิยมในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าแฟด แม้ว่าจะไม่ได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความเสถียรมากกว่า และโดยทั่วไปแล้วจะไม่หายไปเร็วเหมือนแฟด
สินค้าที่อยู่ในกระแสเทรนด์สามารถพัฒนาไปเป็นตลาดที่เติบโตในระยะยาวได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง และไม่ใช่ทุกเทรนด์ที่จะกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ในอนาคต
ตลาดที่มั่นคง (Stable)
ตลาดที่มั่นคงคือกลุ่มสินค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของตลาดมากนัก ไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ก็ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ยังคงมีความต้องการอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น กาน้ำชา ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอมาเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่ได้กลายเป็นกระแสหลักที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้เสื่อมความนิยมไป
ตลาดที่กำลังโต (Growing)
ตลาดที่กำลังเติบโตคือกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในระยะยาว
ตัวอย่างเช่น ตลาดเสื้อผ้าแนว Athleisure ซึ่งเติบโตอย่างมั่นคงมาตั้งแต่ปี 2010 และได้รับแรงหนุนเพิ่มขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปัจจุบันอุตสาหกรรมนี้กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 450 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028
สถานการณ์การแข่งขันในตลาดเป็นอย่างไร?
เมื่อเลือกสินค้าหรือกลุ่มตลาด ต้องพิจารณาว่าภาพรวมการแข่งขันเป็นอย่างไร คุณเป็นเจ้าแรกที่เข้าสู่ตลาดหรือไม่? มีคู่แข่งอยู่แล้วกี่ราย? ตลาดอิ่มตัวหรือยัง? หากคุณเป็นเจ้าแรกในตลาด จำเป็นต้องทำการวิจัยอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่ามีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสินค้าของคุณจริงๆ หรือหากมีคู่แข่งอยู่บ้างแล้ว และพวกเขาทำได้ดี นี่เป็นสัญญาณที่ดีว่าตลาดมีศักยภาพและได้รับการพิสูจน์แล้ว และสุดท้าย หากมีคู่แข่งจำนวนมาก แสดงว่าตลาดนี้มีความต้องการสูง แต่ก็หมายความว่าคุณต้องหาวิธีสร้างความแตกต่าง เพื่อให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นท่ามกลางคู่แข่งที่มีอยู่แล้ว
2. พัฒนาผลิตภัณฑ์
เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะขายอะไร มีหลายวิธีในการพัฒนาสินค้า คุณสามารถผลิตสินค้าด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับช่างฝีมือของ Heath Ceramics หรือหาพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตที่สามารถพัฒนาสินค้าของคุณให้ตรงตามสเปค เช่น ทีมของ West Path ที่ผลิตผ้าห่มเม็กซิกันตามความต้องการเฉพาะของแบรนด์
คุณยังสามารถซื้อสินค้าขายส่งจากแบรนด์อิสระได้โดยตรง วิธีนี้คือการซื้อสินค้าสำเร็จรูปในปริมาณมากเพื่อนำไปขายต่อในตลาดค้าปลีก Shopify ได้ร่วมมือกับ Faire ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มขายส่งออนไลน์ชั้นนำ เพื่อทำให้ขั้นตอนการซื้อขายง่ายขึ้น โดยรวบรวมแบรนด์อิสระและร้านค้าปลีกจากทั่วโลก คุณสามารถติดตั้งแอป Faire: Buy Wholesale เพื่อซิงค์สินค้ากับระบบ Shopify ได้อย่างราบรื่น
หากไม่ต้องการสต๊อกสินค้าเอง คุณสามารถทำดรอปชิปปิ้ง ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจที่ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าจากร้านของคุณ และคุณสั่งซื้อสินค้านั้นจากซัพพลายเออร์โดยตรง จากนั้นซัพพลายเออร์จะเป็นผู้จัดส่งสินค้าให้ลูกค้าแทน ทำให้คุณไม่ต้องจัดเก็บสินค้า หรือดูแลเรื่องการขนส่งเอง
หากคุณออกแบบสินค้าของตัวเอง เช่น เสื้อยืด งานพิมพ์ศิลปะ หรือแก้วกาแฟ อีกหนึ่งทางเลือกที่คล้ายกันคือ การพิมพ์ตามสั่ง (Print on Demand) ซึ่งเป็นการร่วมมือกับซัพพลายเออร์ที่พิมพ์ลวดลายของคุณลงบนสินค้าตามคำสั่งซื้อ วิธีนี้ช่วยให้คุณผลิตสินค้าเฉพาะเมื่อมีคำสั่งซื้อเท่านั้น ไม่ต้องสต๊อกสินค้า และไม่ต้องจัดส่งเอง
3. ทดสอบความต้องการของสินค้า
ขั้นตอนต่อไปคือการทดสอบความต้องการของสินค้า ซึ่งเป็นการตรวจสอบว่าสินค้าที่คุณเลือกมีลูกค้าต้องการจริงหรือไม่ การทดสอบที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มขายได้ ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนเงินหรือเวลาไปกับไลน์สินค้ามากเกินไป ลองใช้วิธีทดสอบต้นทุนต่ำดูก่อน
คุณสามารถสร้างหน้า Coming Soon เพื่อกระตุ้นความสนใจล่วงหน้า หรือเปิดให้ พรีออร์เดอร์ เพื่อดูว่ามีลูกค้าสนใจหรือไม่ ร้าน Jaswant’s Kitchen ซึ่งขายเครื่องเทศและชุดทำอาหารอินเดียแบบธรรมชาติ ทดสอบตลาดโดยเริ่มขายสินค้าที่งานแสดงสินค้าก่อน
เมื่อสามารถทำยอดขายได้บ้าง คุณจะมีข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นว่ามีความต้องการสินค้าจริงหรือไม่
4. เขียนแผนธุรกิจ
เมื่อคุณได้ทดสอบความต้องการของสินค้าเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาสร้างแผนธุรกิจ ซึ่งเป็นเอกสารที่สรุปทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ ในแผนนี้จะมีเนื้อหาสำคัญ เช่น กลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการเข้าถึงและกลยุทธ์ทางการตลาด รูปแบบธุรกิจว่าจะขายตรง ดรอปชิปปิ้ง หรือใช้วิธีอื่นๆ โครงสร้างราคาสินค้า รวมถึงไลน์สินค้าที่จะเปิดตัวก่อน และแผนการตลาดที่จะใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า การมีแผนธุรกิจที่ชัดเจนช่วยให้คุณเข้าใจแนวทางของธุรกิจ สามารถจัดการทรัพยากรได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสความสำเร็จในระยะยาว
แม้ว่าการเริ่มต้นจากสิ่งที่สนุกอย่างการตั้งค่าบัญชีโซเชียลมีเดียหรือออกแบบโลโก้อาจดูน่าตื่นเต้น แต่การมีแผนธุรกิจจะช่วยให้คุณเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง และมีแนวทางที่คิดไว้อย่างรอบคอบสำหรับอนาคต ใช้เทมเพลตแผนธุรกิจฟรีของเราเพื่อช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างเป็นระบบ
5. หาเงินทุน
การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต้องใช้เงินลงทุน โดยเฉพาะหากคุณต้องการขายสินค้าของตัวเอง แม้ว่าจะสามารถนำกำไรที่ได้รับกลับมาหมุนเวียนในธุรกิจได้ แต่ธุรกิจจำนวนมากก็ต้องการเงินทุนหมุนเวียนตั้งแต่แรก ตัวเลือกที่ได้รับความนิยม ได้แก่
- การใช้เงินทุนส่วนตัว หากคุณมีเงินทุนพอสมควร คุณสามารถใช้เงินของตัวเองในการเริ่มต้นธุรกิจได้ เพียงแต่ต้องมั่นใจว่าคุณสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายไปได้สักระยะ เพราะบางธุรกิจอาจทำกำไรได้เร็ว แต่บางธุรกิจอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะคืนทุน
- ขอสินเชื่อธุรกิจ อีกทางเลือกหนึ่งคือการขอสินเชื่อธุรกิจขนาดเล็ก Shopify Capital เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เปิดให้ผู้ที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์สามารถขอเงินทุนได้โดยพิจารณาจากยอดขายของธุรกิจ
- หาทุนจากนักลงทุนและบริษัทร่วมลงทุน นักลงทุนประเภท angel investor หรือ venture capitalist มักให้เงินทุนแก่สตาร์ทอัพหรือธุรกิจในช่วงเริ่มต้น โดยแลกกับการถือหุ้นในบริษัท หรือการให้เงินกู้ที่สามารถแปลงเป็นหุ้นได้ในอนาคต
จากการวิจัยของ Shopify พบว่าในปีแรกของการทำธุรกิจ เจ้าของกิจการส่วนใหญ่มักใช้เงินทุนไปกับต้นทุนสินค้า ไม่ว่าจะเป็นค่าวัตถุดิบ สต๊อกสินค้า ค่าซัพพลายเออร์ การผลิต หรือค่าจดสิทธิบัตร เป็นต้น
6. เปิดตัวธุรกิจ
อย่าคิดมากเกินไป… การเป็นเจ้าของธุรกิจเกิดขึ้นได้จากการลงมือทำและความมุ่งมั่น ตั้งเช็กลิสต์การเปิดร้านเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันแรกของการขาย นอกจากนี้ ควรจัดเตรียมกิจกรรมการตลาดสำหรับวันเปิดตัว เช่น การโพสต์โปรโมตบนโซเชียลมีเดียให้พร้อม รวมถึงวางแผนการให้บริการลูกค้า หรืออย่างน้อยต้องมีช่องทางให้ลูกค้าติดต่อหากต้องการความช่วยเหลือ
หลังจากนั้น ให้โฟกัสไปที่การทำยอดขายแรกให้ได้ แล้วค่อยขยายกลยุทธ์การหาลูกค้าในภายหลัง
7. บริหารธุรกิจให้เติบโต
การบริหารธุรกิจจริงจะสอนคุณมากกว่าการเรียนในห้องเรียนใด ๆ แต่เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะเรียนรู้อยู่เสมอ
ยิ่งคุณให้เวลากับการศึกษาและเรียนรู้จากผู้ที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน ยิ่งช่วยให้หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มีค่าใช้จ่ายสูง และเปิดโอกาสให้คุณสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่คู่แข่งอาจมองข้าม คุณอาจเลือกทำงานร่วมกับที่ปรึกษา อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของธุรกิจ ลงเรียนคอร์ส ฟังพอดแคสต์ด้านธุรกิจ หรือสมัครรับอีเมลข่าวสารเกี่ยวกับการตลาดและการบริหารธุรกิจ เลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเองที่สุด แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่หยุดเรียนรู้
ความท้าทายของการเป็นเจ้าของธุรกิจ
การเป็นเจ้าของธุรกิจก็เหมือนการเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหญ่ ลองนึกภาพว่าคุณเป็นตัวเอกในเรื่องราวของตัวเอง พร้อมเผชิญกับความท้าทายที่มาพร้อมกับการสร้างธุรกิจตั้งแต่ศูนย์
เมื่อลงมือทำธุรกิจ หลายครั้งต้องรับบทบาทหลากหลาย ทั้งเป็น CEO นักบัญชี และทีมการตลาดในเวลาเดียวกัน มันอาจจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่ก็นำมาซึ่งความเหนื่อยล้าเช่นกัน
ความท้าทายที่อาจต้องเจอ ได้แก่
- เรื่องเงินทุน: การเริ่มต้นธุรกิจมักต้องใช้เงินลงทุนก่อนที่จะเริ่มทำกำไร
- ความกลัวที่จะล้มเหลว: เมื่อมีหลายอย่างต้องเดิมพัน ความกังวลว่าธุรกิจจะไปไม่รอดเป็นเรื่องปกติ
- การแข่งขันสูง: การทำให้ธุรกิจโดดเด่นในตลาดที่มีคู่แข่งมากมายไม่ใช่เรื่องง่าย
- สมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน: ความหลงใหลในธุรกิจอาจทำให้ยากต่อการแบ่งเวลาพักผ่อน
แต่อย่าปล่อยให้ความท้าทายเหล่านี้มาหยุดความตั้งใจ หลายคนพบว่าการเอาชนะอุปสรรคเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์ในการเป็นเจ้าของธุรกิจ ทุกคนที่ประสบความสำเร็จเคยเริ่มจากจุดเดียวกับที่คุณกำลังอยู่ในตอนนี้
แหล่งสนับสนุนสำหรับผู้ประกอบการ
โลกของการเป็นเจ้าของธุรกิจอาจเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็มีแหล่งข้อมูลและชุมชนที่พร้อมช่วยเหลือ ทั้งเครื่องมือ คำแนะนำ และการสนับสนุนที่จำเป็นให้คุณได้ใช้ประโยชน์
ทรัพยากร
- Shopify: ผู้ประกอบการหลายคนไม่ได้ศึกษาทางด้านธุรกิจโดยตรง แต่พวกเขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดและเรียนรู้ไปพร้อมกับการทำธุรกิจ นี่คือเหตุผลที่การสร้างการเรียนรู้อย่างมุ่งมั่นเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการทำธุรกิจ Shopify มีแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการฟรี รวมถึงคอร์สและวิดีโอที่คุณสามารถใช้เพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ของคุณเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
- Small Business Administration: รับข้อมูลและแหล่งข้อมูลที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็ก และยังสามารถหาสินเชื่อที่ได้รับการค้ำประกันจาก SBA
- SCORE: SCORE ช่วยให้คุณพบที่ปรึกษาเพื่อรับคำแนะนำและคำปรึกษาฟรี ทั้งแบบพบหน้าหรือออนไลน์ ที่ปรึกษาของ SCORE คือผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จและต้องการช่วยธุรกิจขนาดเล็กอื่นๆ ให้เติบโตและประสบความสำเร็จ
- Small Business Development Centers: ใช้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญฟรีที่ SBDCs เพื่อช่วยคุณเริ่มต้นและขยายธุรกิจ ติดต่อ SBDC ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำปรึกษาและการฝึกอบรมทางธุรกิจฟรี
- Small Business and Self-Employed Tax Center: อย่าลืมเรื่องการเสียภาษี! ติดตามข่าวสารและแบบฟอร์มภาษีล่าสุดจาก IRS เพื่อให้ธุรกิจของคุณเป็นไปตามกฎหมาย
- FindLaw Small Business Center: ค้นหาฟอร์มทางกฎหมาย, คำตอบสำหรับคำถามทางกฎหมาย และทนายความธุรกิจขนาดเล็กได้ที่เว็บไซต์นี้
- สมาคมแฟรนไชส์นานาชาติ: ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์เสมอไป International Franchise Association (IFA) ช่วยให้คุณค้นหาธุรกิจแฟรนไชส์ที่กำลังขาย
- SeedInvest: ค้นหานักลงทุนที่มีศักยภาพสำหรับธุรกิจของคุณผ่าน SeedInvest ที่คุณจะได้พบกับนักลงทุนที่ยินดีลงทุนในธุรกิจของคุณแลกกับหุ้นส่วน
กลุ่มสนับสนุนผู้ประกอบการ
- องค์กรผู้ประกอบการ: Entrepreneur’s Organization เป็นเครือข่ายการสนับสนุนระดับโลกที่มีผู้ประกอบการและผู้นำมากกว่า 14,000 คน EO ให้บริการการให้คำปรึกษาและโอกาสในการสร้างเครือข่ายที่เหมาะสำหรับผู้ประกอบการมือใหม่
- Vistage: ก่อตั้งขึ้นในปี 1957 Vistage เป็นโปรแกรมการให้คำปรึกษาสำหรับ CEO และเจ้าของธุรกิจ โดยมีสมาชิกมากกว่า 24,000 คนทั่วโลก และให้บริการการฝึกอบรมและคำปรึกษาจากเพื่อนผู้ประกอบการ
- Startup Grind: Startup Grind เป็นชุมชนระดับโลกที่สร้างขึ้นเพื่อการศึกษา การสร้างแรงบันดาลใจ และการเชื่อมต่อผู้ประกอบการ กลุ่มนี้จัดงานหลายงานที่ดึงดูดผู้ประกอบการกว่า 3.5 ล้านคนจากทั่วโลกเพื่อเชื่อมโยง เรียนรู้ สอน สร้างธุรกิจ และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
- สภาผู้ประกอบการรุ่นเยาว์: กลุ่มนี้ให้การสนับสนุนจากผู้ประกอบการที่ได้รับการตรวจสอบเพื่อช่วยให้คุณเอาชนะอุปสรรคและขยายธุรกิจ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการเข้าร่วมกลุ่ม แต่ก็เป็นสถานที่ดีสำหรับการสร้างเครือข่ายและหาคู่ธุรกิจที่มีศักยภาพ
- สภานานาชาติสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก (ICSB): ICSB คือโปรแกรมสมาชิกไม่แสวงหาผลกำไรที่แรกที่มุ่งเน้นการเติบโตของธุรกิจขนาดเล็กทั่วโลก กลุ่มนี้รวบรวมผู้สอน นักวิจัย และผู้ปฏิบัติงานจากทั่วโลกเพื่อแบ่งปันข้อมูลผ่านโปรแกรม เวิร์กช็อป การฝึกอบรม และกิจกรรมอื่นๆ
เป็นเจ้าของธุรกิจในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด คุณทำได้!
การเริ่มต้นธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย การทำให้ธุรกิจเติบโตยิ่งยากกว่า คุณอาจรู้สึกว่าไม่พร้อมที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่หากคุณมาถึงจุดนี้แล้ว หมายความว่าคุณพร้อมแล้ว ทุกอย่างเริ่มต้นจากไอเดียที่คุณเชื่อมโยงและหลงใหล ถ้าคุณสามารถเปลี่ยนไอเดียนั้นให้กลายเป็นสิ่งที่สามารถแก้ปัญหาจริงในโลกนี้ได้ คุณก็กำลังเดินไปในเส้นทางที่จะกลายเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ
ภาพประกอบโดย Gracia Lam
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีเป็นเจ้าของธุรกิจ
วิธีเป็นเจ้าของธุรกิจ เริ่มยังไง?
การเป็นผู้ประกอบการนั้น เริ่มต้นได้จากการหาไอเดียทางธุรกิจที่ทำกำไรได้, พัฒนาสินค้า, ตรวจสอบความต้องการในตลาด, เขียนแผนธุรกิจ, หาทุน, เปิดตัวธุรกิจ และเรียนรู้การเป็นผู้ประกอบการ
คุณสมบัติอะไรที่ต้องมีในการเป็นเจ้าของธุรกิจ?
การเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณไม่จำเป็นต้องมีคุณวุฒิทางการศึกษา แต่ทักษะสำคัญอย่างการแก้ปัญหา, ความยืดหยุ่น และความมุ่งมั่นจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้ ความรู้เฉพาะทาง หรือใบรับรองก็อาจมีประโยชน์ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจที่คุณเลือกทำ
ควรเก็บเงินเท่าไหร่ก่อนเริ่มธุรกิจ?
โดยทั่วไปแล้ว ควรเก็บเงินให้พอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนตัวและต้นทุนเริ่มต้นของธุรกิจอย่างน้อย 6 ถึง 12 เดือน
การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจ ต้องมีใบปริญญาหรือไม่?
คุณไม่จำเป็นต้องมีปริญญาทางธุรกิจเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ประสบความสำเร็จหลายคนมีพื้นฐานการศึกษาที่หลากหลาย โดยการศึกษาทางธุรกิจสามารถให้ความรู้และทักษะในด้านต่างๆ เช่น การเงิน, การตลาด และการบริหาร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ
คุณสมบัติของผู้ประกอบการมีอะไรบ้าง?
- ความหลงใหล
- ความมุ่งมั่น
- ความทะเยอทะยาน
- แรงขับในการแก้ปัญหา
- ความต้องการที่จะทำให้ไอเดียธุรกิจเป็นจริง
เจ้าของธุรกิจได้รับเงินเดือนหรือไม่?
จากข้อมูลของ Indeed ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ได้รับเงินเฉลี่ยประมาณ 60,000 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 2 ล้านบาท) ซึ่งจำนวนนี้อาจแตกต่างไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น อุตสาหกรรม, ผลิตภัณฑ์, ทำเลที่ตั้ง และอื่นๆ ผู้ประกอบการสามารถได้รับเงินเดือน หรือจ่ายเงินให้ตัวเองผ่านการถอนเงินจากเจ้าของ ซึ่งหมายถึงการนำเงินออกจากธุรกิจเพื่อใช้ส่วนตั