แผนธุรกิจที่ดีสามารถช่วยให้คุณชัดเจนในกลยุทธ์ ระบุอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น กำหนดทรัพยากรที่จำเป็น และประเมินความเป็นไปได้ของแนวคิดและแผนการเติบโตของคุณก่อนที่จะเริ่มธุรกิจ
ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะเริ่มต้นด้วยแผนธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบหรือเป็นทางการ แต่เจ้าของกิจการหลายคนพบว่าแผนธุรกิจมีประโยชน์มากกว่าที่คาดไว้ เพราะเมื่อคุณจัดทำแผนธุรกิจ คุณจะมีเวลาย้อนกลับไปทำการวิจัยเกี่ยวกับแนวคิดและตลาดที่คุณต้องการ รวมถึงเข้าใจขอบเขตเบื้องหลังกลยุทธ์ที่ต้องการใช้
เรียนรู้วิธีการเขียนแผนธุรกิจแบบทีละขั้นตอน รวมถึงตามเรามาดูเคล็ดลับในการทำให้แผนของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุดและตัวอย่างแผนธุรกิจจริงที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ให้กับคุณ
แผนธุรกิจคืออะไร?
แผนธุรกิจ (Business Plan) คือเอกสารเชิงกลยุทธ์ที่ระบุเป้าหมายของบริษัท เทคนิคในการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น และกรอบเวลาในการบรรลุผล ซึ่งแต่ละส่วนก็จะครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ตลาด, การคาดการณ์ทางการเงิน, และโครงสร้างองค์กร ซึ่งภาพรวมแล้ว แผนธุรกิจทำหน้าที่เป็นแผนที่สำหรับการเติบโตของธุรกิจและเครื่องมือในการขอเงินทุน
บ่อยครั้งที่สถาบันการเงินและนักลงทุนต้องการเห็นแผนธุรกิจก่อนที่จะให้ทุนโครงการ แม้ว่าคุณจะไม่วางแผนที่จะขอเงินทุนจากภายนอก แต่แผนที่ดีจะกลายเป็นแนวทางที่ดีเมื่อธุรกิจเริ่มเติบโต
ส่วนประกอบหลักของแผนธุรกิจ
การจัดทำแผนธุรกิจจะช่วยให้เห็นส่วนต่างๆ ของกลยุทธ์และเป้าหมายของบริษัทของคุณมักมีส่วนประกอบหลักของแผนธุรกิจที่ทำงานร่วมกัน เพื่อแสดงแผนที่ไปสู่ความสำเร็จ
ส่วนประกอบหลักของแผนธุรกิจของคุณควรรวมถึง
- บทสรุปผู้บริหาร: ภาพรวมสั้นๆ ของแผนทั้งหมด
- คำอธิบายบริษัท: คำอธิบายว่าธุรกิจของคุณทำอะไร และทำไมถึงมีเอกลักษณ์
- การวิเคราะห์ตลาด: การวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของคุณ ตลาด เป้าหมาย และคู่แข่ง
- องค์กรและการจัดการ: รายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างธุรกิจและผู้ที่ดำเนินการ
- ผลิตภัณฑ์หรือบริการ: คำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่คุณขาย และมันจะดีต่อลูกค้าอย่างไร
- การแบ่งกลุ่มลูกค้า: การแบ่งตลาดเป้าหมายของคุณออกเป็นกลุ่มต่างๆ
- แผนการตลาดและการขาย: กลยุทธ์ในการส่งเสริมและขายผลิตภัณฑ์/บริการของคุณ
- โลจิสติกส์และการดำเนินงาน: ภาพรวมของวิธีที่ธุรกิจของคุณจะดำเนินกิจกรรมประจำวันและจัดการทรัพยากร
- การเงิน: การมองภาพรวมที่สมบูรณ์ของรายได้ที่คาดการณ์ไว้ ค่าใช้จ่าย และความต้องการเงินทุน
วิธีเขียนแผนธุรกิจใน 9 ขั้นตอน
- ร่างบทสรุปผู้บริหาร
- เขียนคำอธิบายบริษัท
- วิเคราะห์ตลาด
- ร่างการจัดการและองค์กร
- ระบุสินค้าและบริการ
- ทำการแบ่งกลุ่มลูกค้า
- กำหนดแผนการตลาด
- แผนโลจิสติกส์และการดำเนินงาน
- จัดทำแผนการเงิน
ไม่มีอะไรที่น่ากลัวไปกว่าหน้ากระดาษเปล่า เริ่มต้นแผนธุรกิจด้วยโครงสร้างที่ชัดเจนและองค์ประกอบสำคัญ แบ่งแต่ละส่วนไว้อย่างชัดเจน เป็นขั้นตอนแรกที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้
เนื่องจากโครงร่างเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในกระบวนการเขียนแผนธุรกิจ เราได้จัดทำภาพรวมระดับสูงเพื่อช่วยให้คุณเริ่มต้น (และช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความกลัวที่จะเผชิญหน้ากับหน้ากระดาษเปล่า)
เมื่อคุณมีเทมเพลตแผนธุรกิจของคุณแล้วก็ถึงเวลาที่จะกรอกข้อมูล โดยเราได้เทมเพลตแบ่งออกเป็นส่วนๆ เพื่อช่วยให้คุณสร้างแผนของคุณทีละขั้นตอนได้อย่างไม่สับสน
1. ร่างบทสรุปผู้บริหาร
บทสรุปผู้บริหารที่ดีเป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดของแผนธุรกิจของคุณ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนสุดท้ายที่คุณควรเขียน เพราะร่างนี้จะสรุปทุกสิ่งที่ตามมาและให้ภาพรวมระดับสูงของธุรกิจของคุณแก่ผู้ตรวจสอบที่มีเวลาจำกัด (เช่น นักลงทุนและผู้ให้กู้) ซึ่งจะทำให้นายทุนอยากอ่านต่อ
ย้ำอีกครั้ง นี่คือร่างบทสรุป ดังนั้นให้เน้นจุดสำคัญบนแผน หรือหากคุณเขียนเพื่อวัตถุประสงค์ในการวางแผนสำหรับตัวเอง (ไม่ใช่สำหรับนายทุน) คุณสามารถข้ามบทสรุปไปได้
บทสรุปผู้บริหารไม่ควรเกินหนึ่งหน้า แม้ว่าสิ่งนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดในการอัดข้อมูลสำคัญทั้งหมดลงไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
บทสรุปผู้บริหารบนแผนธุรกิจของคุณควรประกอบไปด้วย
- แนวคิดธุรกิจ: ธุรกิจของคุณทำอะไร?
- เป้าหมายและวิสัยทัศน์: ธุรกิจของคุณต้องการทำอะไร?
- คำอธิบายสินค้าและความต่าง: คุณขายอะไร และทำไมมันถึงแตกต่าง?
- ตลาดและกลุ่มเป้าหมาย: คุณขายให้ใคร?
- กลยุทธ์การตลาด: คุณวางแผนที่จะเข้าถึงลูกค้าอย่างไร?
- สถานะทางการเงินปัจจุบัน: คุณมีรายได้เท่าไรในปัจจุบัน?
- สถานะทางการเงินที่คาดการณ์: คุณคาดว่าจะมีรายได้เท่าไร?
- จำนวนเงินที่ต้องการ: คุณจะขอเงินเท่าไร?
- ทีมงาน: ใครมีส่วนร่วมในธุรกิจ?
2. เขียนคำอธิบายบริษัท
ส่วนนี้ของแผนธุรกิจของคุณควรตอบคำถามพื้นฐานสองข้อ ได้แก่
- คุณคือใคร?
- วางแผนจะทำอะไร?
การตอบคำถามเหล่านี้ด้วยคำอธิบายบริษัทจะทำให้คุณแนะนำว่าทำไมคุณถึงทำธุรกิจนี้ ทำไมคุณถึงแตกต่าง และสิ่งที่คุณมีเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุน
ตัวอย่างเช่น แบรนด์เครื่องสำอางที่สะอาด Saie แชร์จดหมายจากผู้ก่อตั้งเกี่ยวกับภารกิจของบริษัท
การชี้แจงรายละเอียดเหล่านี้ยังเป็นการฝึกฝนที่มีประโยชน์ แม้ว่าคุณจะเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นแผนนี้ เพราะนี่คือโอกาสในการบันทึกบางแง่มุมที่จับต้องไม่ได้ของธุรกิจของคุณ เช่น หลักการ อุดมการณ์ และปรัชญาทางวัฒนธรรม
มาดูตัวอย่างส่วนประกอบที่คุณควรรวมไว้ในคำอธิบายบริษัทของคุณ
- โครงสร้างธุรกิจ (คุณเป็นเจ้าของคนเดียว หุ้นส่วนทั่วไป หุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจดทะเบียน?)
- โมเดลธุรกิจ
- อุตสาหกรรมหรือบริการ
- วิสัยทัศน์ ภารกิจ และคุณค่าที่บริษัทสัญญาว่าจะส่งมอบไปยังลูกค้า
- ข้อมูลพื้นฐานธุรกิจหรือประวัติ
- วัตถุประสงค์ทางธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
- ทีมงาน รวมถึงบุคลากรหลัก และเงินเดือน
คุณค่าและเป้าหมายของแบรนด์
ในการกำหนดคุณค่าของแบรนด์ ให้คิดเกี่ยวกับผู้คนทั้งหมดที่บริษัทของคุณต้องรับผิดชอบ รวมถึงเจ้าของ พนักงาน ซัพพลายเออร์ ลูกค้า และนักลงทุน จากนั้นพิจารณาว่าคุณต้องการทำธุรกิจกับแต่ละคนอย่างไร ซึ่งในช่วงเวลานี้คุณค่าของแบรนด์จะยิ่งปรากฏชัดขึ้น
คำอธิบายบริษัทของคุณควรรวมถึงเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เป้าหมายระยะสั้นโดยทั่วไปควรสามารถทำได้ภายในปีถัดไป ในขณะที่ 1-5 ห้าปีเป็นกรอบเวลาที่ดีสำหรับเป้าหมายระยะยาว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการตั้งเป้าหมาย ของคุณรวมถึงเป้าหมาย SMART นั้นเฉพาะเจาะจง วัดผลได้ ทำได้จริง สมเหตุสมผล และมีกรอบเวลา
วิสัยทัศน์และภารกิจ
เมื่อคุณรู้จักค่านิยมของคุณแล้ว คุณสามารถเขียนคำชี้แจงภารกิจได้ คำชี้แจงของคุณควรอธิบายอย่างชัดเจนว่าทำไมธุรกิจของคุณถึงมีอยู่ และไม่ควรยาวเกินหนึ่งประโยค
จากนั้นสร้างคำชี้แจงวิสัยทัศน์ บอกถึงความเปลี่ยนแปลงที่คุณคาดหวัง เมื่อคุณบรรลุวิสัยทัศน์ธุรกิจแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ควรระบุผลกระทบนี้ในรูปแบบการยืนยัน ลองเริ่มต้นคำชี้แจงด้วย “เราจะ” ซึ่งคำชี้แจงวิสัยทัศน์ของคุณสามารถยาวกว่าหนึ่งประโยค แต่พยายามจำกัดไว้ที่ 3 ประโยคเป็นอย่างมาก เพราะคำชี้แจงวิสัยทัศน์จะต้องกระชับเข้าไว้
3. วิเคราะห์ตลาด
การวิเคราะห์ตลาดเป็นส่วนสำคัญของแผนธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะตั้งใจให้ใครอ่านมันหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเริ่มธุรกิจประเภทใด ทั้ง Home Business หรือบริการ ซึ่งมันไม่เกินจริงที่จะบอกได้ว่าตลาดจะเป็นตัวแปรที่ทำให้ธุรกิจสำเร็จหรือล้มเหลว
เลือกตลาดที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ ตลาดที่มีลูกค้าจำนวนมากที่เข้าใจและต้องการผลิตภัณฑ์ของคุณ เหล่นี้จะทำให้คุณมีข้อได้เปรียบในการประสบความสำเร็จ
หากคุณเลือกตลาดที่ไม่ถูกต้อง หรือเลือกตลาดถูกที่แต่ไม่ถูกเวลา คุณอาจพบว่าตัวเองต้องดิ้นรนเพื่อขายของแต่ละชิ้นเลยทีเดียว ดังนั้นการวิเคราะห์ตลาดควรรวมถึงภาพรวมขนาดตลาดที่คุณประเมินสำหรับสินค้า การวิเคราะห์ตำแหน่งของธุรกิจในตลาด และภาพรวมการแข่งขัน การวิจัยที่ละเอียดสนับสนุนข้อสรุปมีความสำคัญ ทั้งในการโน้มน้าวนักลงทุน และในการตรวจสอบสมมติฐานในขณะดำเนินงาน
ตลาดที่มีศักยภาพต้องมีขนาดเท่าไร?
ตลาดที่มีศักยภาพคือการประเมินว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องการสินค้าของคุณ แม้ว่าจะน่าตื่นเต้นที่จะจินตนาการถึงตัวเลขการขายที่สูงลิ่ว แต่คุณจะต้องใช้ข้อมูลที่เป็นอิสระที่เกี่ยวข้องมากที่สุด เพื่อยืนยันตลาดที่มีศักยภาพ
เนื่องจากนี่อาจเป็นกระบวนการที่น่ากลัว นี่คือเคล็ดลับที่อาจจะช่วยให้คุณเริ่มต้นการวิจัยได้อย่างไม่ยากเกินไป
- เข้าใจโปรไฟล์ลูกค้าอุดมคติ: มองหาข้อมูลจากรัฐบาลเกี่ยวกับขนาดของตลาดเป้าหมาย เรียนรู้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน ใช้ช่องทางโซเชียลไหน และพฤติกรรมการซื้อเป็นอย่างไร
- วิจัยแนวโน้มและแนวทาง: สำรวจแนวโน้มผู้บริโภค และแนวโน้มสินค้าในอุตสาหกรรมของคุณ โดยการดู Google Trends สิ่งพิมพ์ทางการค้า และอินฟลูเอนเซอร์
- คาดการณ์อย่างมีข้อมูล: คุณจะไม่มีข้อมูลที่สมบูรณ์เกี่ยวกับตลาดที่สามารถเข้าถึงทั้งหมด เป้าหมายของคุณคือการอิงการประเมินจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แหล่งข้อมูลบางแห่งที่คุณสามารถปรึกษาเพื่อข้อมูลตลาด ได้แก่ สำนักงานสถิติของรัฐบาล สมาคมอุตสาหกรรม การวิจัยทางวิชาการ และสื่อข่าวที่มีชื่อเสียงที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมของคุณ
อ่านเพิ่มเติม: การวิเคราะห์ตลาดคืออะไร? 3 ขั้นตอนที่ทุกธุรกิจควรปฏิบัติตาม
การวิเคราะห์ SWOT
การวิเคราะห์ SWOT จะดูที่จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตั้งคำถาม เช่น
- สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับบริษัทของคุณคืออะไร?
- สิ่งที่คุณไม่เก่งคืออะไร?
- การเปลี่ยนแปลงในตลาดหรืออุตสาหกรรมใดที่คุณสามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสได้?
- มีปัจจัยภายนอกใดบ้างที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ?
SWOT มักจะแสดงในรูปแบบตารางหรือในรูปแบบที่มองเห็นได้ ด้วยการนำเสนอในรูปแบบนี้ ผู้ที่อ่านสามารถเห็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและกำหนดข้อได้เปรียบในการแข่งขันในตลาด
การวิเคราะห์การแข่งขัน
มี 3 ปัจจัยหลักที่คุณสามารถใช้เพื่อแยกแยะธุรกิจของคุณในขณะที่เผชิญกับการแข่งขัน
- ความเป็นผู้นำด้านต้นทุน: คุณมีความสามารถในการเพิ่มผลกำไรโดยการเสนอราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น บริษัท Mejuri และ Endy
- ความแตกต่าง: ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณเสนอสิ่งที่แตกต่างจากผู้นำด้านต้นทุนในอุตสาหกรรมของคุณและมุ่งมั่นที่จะโดดเด่นจากความเป็นเอกลักษณ์ของคุณ คิดถึงบริษัทเช่น Knix และ QALO
- การแบ่งกลุ่ม: คุณมุ่งเน้นไปที่ตลาดเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงหรือเฉพาะกลุ่ม และมุ่งหวังที่จะสร้างความสนใจจากกลุ่มเล็กๆ ก่อนที่จะขยายไปยังตลาดที่กว้างขึ้น บริษัทเช่น TomboyX และ Heyday Footwear เป็นตัวอย่างที่ดีของกลยุทธ์นี้
เพื่อทำความเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด คุณจะต้องเข้าใจธุรกิจของคุณรวมถึงภูมิทัศน์การแข่งขัน
คุณต้องแข่งขันเสมอในตลาด แม้จะเป็นสินค้าที่สร้างสรรค์ไม่ซ้ำใคร ดังนั้นจึงสำคัญที่จะต้องรวมภาพรวมการแข่งขันในแผนธุรกิจ หากคุณกำลังเข้าสู่ตลาดที่มีอยู่แล้ว ให้รวมรายชื่อบริษัทที่คุณพิจารณาว่าเป็นคู่แข่งโดยตรง และอธิบายว่าคุณวางแผนจะแยกสินค้าและธุรกิจของคุณให้โดดเด่นจากพวกเขาได้อย่างไร
ตัวอย่างเช่น หากคุณขายเครื่องประดับ การแยกแยะการแข่งขันของคุณอาจเป็นว่าต่างจากคู่แข่งที่มีระดับสูงหลายราย คุณบริจาคเปอร์เซ็นต์ของผลกำไรให้กับการกุศลที่มีชื่อเสียงหรือส่งต่อการประหยัดให้กับลูกค้าของคุณ
หากคุณกำลังเข้าสู่ตลาดที่ไม่สามารถระบุคู่แข่งโดยตรงได้ ให้พิจารณาคู่แข่งทางอ้อม บริษัทที่เสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นทางเลือก ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังขายอุปกรณ์ครัวแบบสร้างสรรค์ ก็อาจจะง่ายเกินไปที่จะบอกว่าผลิตภัณฑ์ของคุณไม่มีคู่แข่ง ลองพิจารณาว่าถ้ากลุ่มเป้าหมายไม่ใช้อุปกรณ์ครัวของคุณ พวกเขาจะใช้อะไร? นั่นทำให้คุณมองเห็นคู่แข่งได้ชัดเจนขึ้น
4. ร่างการจัดการและองค์กร
ส่วนการจัดการและองค์กรของแผนธุรกิจของควรบอกผู้อ่านเกี่ยวกับผู้ที่กำลังดำเนินการบริษัท รายละเอียดโครงสร้างทางกฎหมายของธุรกิจ สื่อสารว่าคุณจะจดทะเบียนธุรกิจของคุณเป็น S corporation หรือสร้างหุ้นส่วนจำกัด หรือเจ้าของคนเดียว
หากมีทีมบริหาร ให้ใช้แผนผังองค์กรเพื่อแสดงโครงสร้างภายในของบริษัท รวมถึงบทบาท ความรับผิดชอบ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในแผนผัง สื่อสารว่าบุคคลแต่ละคนจะมีส่วนร่วมในการประสบความสำเร็จของสตาร์ทอัพอย่างไร
5. ระบุสินค้าและบริการ
ผลิตภัณฑ์หรือบริการจะปรากฏเด่นในหลายพื้นที่ของแผนธุรกิจ แต่สิ่งสำคัญคือการจัดทำส่วนที่สรุปรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับพวกเขาสำหรับผู้อ่านที่สนใจ
หากขายสินค้าหลายรายการ คุณสามารถรวมข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับแต่ละสายผลิตภัณฑ์ หากขายเพียงไม่กี่รายการ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแต่ละรายการ
ตัวอย่างเช่น ร้านกระเป๋า BAGGU ขายกระเป๋าหลายประเภท รวมถึงของใช้ในบ้านและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ แผนธุรกิจก็จะระบุหมวดหมู่เหล่านั้นและรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ภายในแต่ละหมวดหมู่
อธิบายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้และทรัพย์สินทางปัญญาที่คุณเป็นเจ้าของ แสดงว่าพวกเขาจะช่วยปรับปรุงผลกำไรได้อย่างไร นอกจากนี้ยังสำคัญที่จะต้องระบุว่าผลิตภัณฑ์มาจากไหน งานฝีมือที่ทำด้วยมือมีแหล่งที่มาที่แตกต่างจากสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างไร และมีความสำคัญยังไงกับธุรกิจดรอปชิป เป็นต้น
6. ทำการแบ่งกลุ่มลูกค้า
ลูกค้าในอุดมคติหรือที่เรียกว่าตลาดเป้าหมาย คือพื้นฐานของ แผนการตลาด หากไม่ใช่แผนธุรกิจโดยรวม คุณจะต้องคำนึงถึงบุคลิกภาพของผู้ซื้อ เมื่อคุณทำการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการให้ภาพรวมเกี่ยวกับพวกเขาจึงสำคัญต่อการเข้าใจและรวมไว้ในแผนธุรกิจ
เพื่อให้ภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับลูกค้าอุดมคติ ให้บรรยายถึงลักษณะประชากรทั่วไปและเฉพาะเจาะจงหลายประการ การแบ่งกลุ่มลูกค้า มักรวมถึง
- ที่อยู่อาศัย
- ช่วงอายุ
- ระดับการศึกษา
- รูปแบบพฤติกรรมทั่วไป
- สิ่งที่ทำในเวลาว่าง
- ที่ทำงาน
- เทคโนโลยีที่ใช้
- รายได้
- สถานที่ที่ไปทำงานบ่อย
- ค่านิยม ความเชื่อ ความคิดเห็น
ข้อมูลนี้จะแตกต่างกันไปตามสินค้าที่เลือกขาย แต่คุณควรเฉพาะเจาะจงพอที่จะทำให้ชัดเจนว่าคุณพยายามเข้าถึงใคร และที่สำคัญกว่านั้นคือ เพราะอะไรถึงเลือกแบบนั้น มี Value อะไรที่กลุ่มเป้าหมายนี้ให้ความสำคัญ
ตัวอย่างเช่น นักศึกษาวิทยาลัยมีความสนใจพฤติกรรมการซื้อและความไวต่อราคา ซึ่งแตกต่างจากผู้บริหารอายุ 50 ปีที่ทำงานในบริษัทใหญ่ ดังนั้นแผนธุรกิจและการตัดสินใจของคุณจะมีลักษณะแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับว่าใครคือกลุ่มลูกค้าอุดมคติ
ใช้ข้อมูลลูกค้าของคุณให้เกิดประโยชน์ด้วยการแบ่งกลุ่มลูกค้าของ Shopify
เครื่องมือการแบ่งกลุ่มที่มีอยู่ใน Shopify ช่วยให้คุณค้นพบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า สร้างกลุ่มที่มุ่งเป้าได้ตามแผนการตลาดด้วยตัวกรองตามข้อมูลประชากรและพฤติกรรมของลูกค้า และขับเคลื่อนการขายด้วยอีเมลที่ตรงเวลาและเป็นส่วนตัว
ทำความรู้จักการแบ่งกลุ่มลูกค้าของ Shopify
7. กำหนดแผนการตลาด
ความพยายามทางการตลาดได้รับข้อมูลโดยตรงจากลูกค้าอุดมคติ นั่นคือเหตุผลที่เมื่อคุณร่างการตัดสินใจในปัจจุบันและกลยุทธ์ในอนาคต แผนการตลาดควรให้ความสำคัญอย่างชัดเจนว่าความคิดทางธุรกิจเหมาะสมกับลูกค้าอุดมคติอย่างไร
หากคุณวางแผนที่จะลงทุนอย่างหนักในการตลาดบน Instagram หรือโฆษณา TikTok ตัวอย่างเช่น มันสมเหตุสมผลที่จะรวมว่า Instagram และ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ชั้นนำสำหรับกลุ่มเป้าหมายของคุณหรือไม่ หากคำตอบคือไม่ นั่นอาจเป็นสัญญาณให้คุณพิจารณาแผนการตลาดของคุณใหม่
ทำการตลาดธุรกิจของคุณด้วยเครื่องมือการตลาดของ Shopify
Shopify มีทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ ส่งแคมเปญอีเมลอัตโนมัติในช่วงเวลาทางการตลาดที่สำคัญ แบ่งกลุ่มลูกค้า และวิเคราะห์ผลลัพธ์ นอกจากนี้ยังฟรีสำหรับอีเมล 10,000 ฉบับแรกที่ส่งต่อเดือน
ทำความรู้จักเครื่องมือการตลาดของ Shopify
แผนการตลาดส่วนใหญ่รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับ 4 หัวข้อหลัก ข้อมูลที่คุณนำเสนอในแต่ละหัวข้อจะขึ้นอยู่กับทั้งธุรกิจของคุณและผู้ชมของแผน
- ราคา: สินค้าราคาเท่าไร และทำไมคุณถึงตัดสินใจแบบนั้น?
- ผลิตภัณฑ์: คุณกำลังขายอะไรและสินค้าไม่เหมือนกับของอื่นๆ ในตลาดได้อย่างไร?
- การส่งเสริม: คุณจะเชื่อมต่อสินค้ากับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างร?
- สถานที่: คุณจะขายสินค้าได้ที่ไหน? ในช่องทางใดและในตลาดใด?
8. ทำแผนโลจิสติกส์และการดำเนินงาน
โลจิสติกส์และการดำเนินงานคือการทำงานที่คุณจะดำเนินการเพื่อทำให้แนวคิดธุรกิจของคุณเป็นจริง หากคุณกำลังเขียนแผนธุรกิจเพื่อวัตถุประสงค์ในการวางแผนของตัวเอง นี่ยังเป็นส่วนสำคัญที่ควรพิจารณา แม้ว่าคุณอาจไม่จำเป็นต้องรวมรายละเอียดในระดับเดียวกับที่คุณจะขอเงินทุน
วางแผนการดำเนินงานอย่างครอบคลุม ด้วยเช็คลิสต์นี้
- ซัพพลายเออร์: คุณจะได้รับวัตถุดิบที่คุณต้องการสำหรับการผลิตจากที่ไหน หรือผลิตภัณฑ์ของคุณผลิตที่ไหน?
- การผลิต: คุณจะผลิตและจัดจำหน่ายแบบอีคอมเมิร์ซหรือใช้ดรอปชิป? ใช้เวลานานเท่าไรในการผลิตสินค้าและจัดส่ง? คุณจะจัดการกับช่วงเทศกาลยุ่งหรือความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดไอย่างไร?
- สถานที่: คุณและสมาชิกในทีมจะทำงานที่ไหน? วางแผนที่จะมีพื้นที่ค้าปลีกจริงหรือไม่? ถ้าใช่ ที่ไหน?
- อุปกรณ์: คุณต้องการเครื่องมือและเทคโนโลยีอะไรเพื่อให้ธุรกิจดำเนินการได้? สิ่งนี้รวมถึงทุกอย่างตั้งแต่ซอฟต์แวร์ไปจนถึงหลอดไฟ และทุกอย่างในระหว่างนั้น
- การจัดส่งและการเติมเต็ม: คุณจะจัดการงานการทั้งหมดแบบ In-house หรือจะใช้พาร์ทเนอร์ Outsource เข้ามาช่วย
- สินค้าคงคลัง: คุณจะเก็บไว้มากแค่ไหน และจะเก็บไว้ที่ไหน? และหากจำเป็นคุณจะจะจัดส่งให้พาร์ทเนอร์ได้อย่างไร และมีวิธีการจัดการสินค้าคงคลังอย่างไร?
ส่วนนี้ควรบ่งบอกให้ผู้อ่านเห็นว่าคุณมีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานของคุณ โดยมีแผนสำรองที่แน่นพอเพื่อครอบคลุมความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น หากผู้อ่านคือคุณเอง แผนธุรกิจควรให้พื้นฐานในการตัดสินใจที่สำคัญอื่นๆ เช่น วิธีการตั้งราคาเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ไว้ และเมื่อใดที่คุณคาดว่าจะคืนทุนจากทุนก้อนแรก
9. จัดทำแผนการเงิน
ไม่ว่าความคิดของคุณจะดีเพียงใดและไม่ว่าจะใช้ความพยายาม เวลา และเงินทุนมากแค่ไหน ธุรกิจจะมีชีวิตอยู่หรือตายขึ้นอยู่กับสุขภาพทางการเงินของมัน ในท้ายที่สุด ผู้คนต้องการทำงานกับธุรกิจที่พวกเขาคาดหวังว่าจะมีความสามารถในการทำกำไรในอนาคตอันใกล้
ระดับของรายละเอียดที่จำเป็นในแผนการเงินของคุณจะขึ้นอยู่กับลูกค้าและเป้าหมายของคุณ แต่โดยทั่วไปแล้ว คุณจะต้องรวมมุมมองทางการเงิน 3 ด้านหลัก ได้แก่ งบกำไรขาดทุน งบแสดงฐานะการเงิน และงบกระแสเงินสด นอกจากนี้อาจเหมาะสมที่จะรวมข้อมูลทางการเงินและการคาดการณ์
นี่คือเทมเพลตสเปรดชีตที่รวมทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อสร้างงบกำไรขาดทุน งบแสดงฐานะการเงิน และงบกระแสเงินสด รวมถึงตัวเลขตัวอย่างบางตัว คุณสามารถแก้ไขเพื่อสะท้อนการคาดการณ์หากจำเป็น มาทบทวนประเภทของงบการเงินที่คุณต้องการ
งบกำไรขาดทุน
งบกำไรขาดทุนของคุณถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้อ่านเห็นแหล่งรายได้และค่าใช้จ่ายในช่วงเวลาที่กำหนด ด้วยข้อมูลทั้ง 2 ส่วนนี้ พวกเขาสามารถเห็นผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุด กำไรหรือขาดทุนที่ธุรกิจประสบในช่วงเวลานั้น หากคุณยังไม่ได้เปิดธุรกิจก็สามารถคาดการณ์เหตุการณ์สำคัญในอนาคตของข้อมูลเดียวกันนี้
งบแสดงฐานะการเงิน
งบแสดงฐานะการเงิน เสนอภาพรวมว่าคุณมีทุนในธุรกิจของคุณเท่าไร ในด้านหนึ่ง คุณจะระบุสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจ (สิ่งที่คุณเป็นเจ้าของ) และในอีกด้านหนึ่ง หนี้สินทั้งหมด (สิ่งที่คุณเป็นหนี้)
นี่ให้ภาพรวมของทุนผู้ถือหุ้นของธุรกิจคุณ ซึ่งคำนวณได้ดังนี้
สินทรัพย์ - หนี้สิน = ทุน
งบกระแสเงินสด
งบกระแสเงินสดของคุณคล้ายกับงบกำไรขาดทุน โดยมีความแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งคือ มันมีความสำคัญตอนรายได้ถูกเก็บ และเมื่อค่าใช้จ่ายถูกจ่าย
เมื่อเงินสดที่คุณมีเข้ามามากกว่าเงินสดที่คุณมีออกไป กระแสเงินสดของคุณเป็นบวก เมื่อสถานการณ์ตรงกันข้ามเกิดขึ้น กระแสเงินสดของคุณจะเป็นลบ โดยทั่วไปแล้ว งบกระแสเงินสดของคุณจะช่วยให้คุณเห็นว่าเมื่อใดที่เงินสดต่ำ เมื่อใดที่คุณอาจมีเงินเกิน และที่ไหนที่คุณอาจต้องมีแผนสำรองเพื่อเข้าถึงเงินทุนเพื่อรักษาความมั่นคงของธุรกิจ
การคาดการณ์งบกระแสเงินสดของคุณอาจมีประโยชน์ โดยเฉพาะในการระบุช่องว่างหรือกระแสเงินสดที่เป็นลบและปรับการดำเนินงานตามที่จำเป็น
📚 อ่านเพิ่มเติม: การจัดการกระแสเงินสดคืออะไรและทำอย่างไร (พร้อมตัวอย่าง)
ทำไมต้องเขียนแผนธุรกิจ?
นักลงทุนพึ่งพาแผนธุรกิจในการประเมินความเป็นไปได้ของธุรกิจก่อนที่จะให้ทุน ซึ่งเป็นเหตุผลที่แผนธุรกิจมักเกี่ยวข้องกับการขอสินเชื่อธุรกิจ
แผนธุรกิจยังช่วยเจ้าของในการระบุพื้นที่ที่อ่อนแอก่อนที่จะเริ่มลงมือ ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่มีค่าใช้จ่ายในอนาคต “การวางแผนธุรกิจช่วยให้เราระบุ ‘สิ่งที่ไม่รู้’ และทำให้เราสามารถมองเห็นช่องว่างที่เราต้องการความช่วยเหลือหรืออย่างน้อยที่สุดก็เพื่อพัฒนาทักษะของเราเอง” กล่าวโดย Jordan Barnett เจ้าของธุรกิจ Kapow Meggings
ยังมีเหตุผลที่น่าสนใจอื่นๆ ที่ควรพิจารณาในการเขียนแผนธุรกิจ รวมถึง
- การวางแผนเชิงกลยุทธ์: การเขียนแผนของคุณเป็นการฝึกฝนที่มีค่าในการชี้แจงแนวคิดและสามารถช่วยให้คุณเข้าใจขอบเขตของธุรกิจ รวมถึงจำนวนเวลา เงินทุน และทรัพยากรที่คุณต้องการในการเริ่มต้น
- การประเมินแนวคิด: หากคุณมีแนวคิดหลายอย่างในใจ แผนธุรกิจคร่าวๆ สำหรับแต่ละแนวคิดสามารถช่วยให้คุณมุ่งเน้นเวลาและพลังงานไปที่แนวคิดที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุด
- การวิจัย: ในการเขียนแผนธุรกิจ คุณจะต้องทำการวิจัยเกี่ยวกับลูกค้าอุดมคติและคู่แข่ง ซึ่งเป็นข้อมูลที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้มากขึ้น
- การสรรหา: แผนธุรกิจของคุณเป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการสื่อสารวิสัยทัศน์ไปยังผู้ลงทุนรายใหม่ และสามารถช่วยสร้างความมั่นใจในโครงการของคุณ โดยเฉพาะหากคุณอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโต
- ความร่วมมือ: หากคุณวางแผนที่จะร่วมมือกับแบรนด์อื่น การมีภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ กลุ่มเป้าหมาย และกลยุทธ์ทางธุรกิจจะทำให้พวกเขาระบุได้ง่ายขึ้นว่าธุรกิจของคุณเหมาะกับของพวกเขาหรือไม่
- การแข่งขัน: มีการแข่งขันแผนธุรกิจมากมายที่เสนอรางวัล เช่น การให้คำปรึกษา เงินช่วยเหลือ หรือเงินลงทุน
หากคุณกำลังมองหาวิธีที่มีโครงสร้างในการวางแนวคิดและแนวคิด และเพื่อแบ่งปันแนวคิดเหล่านั้นกับผู้คนที่มีผลอย่างมากต่อความสำเร็จของคุณ การทำแผนธุรกิจเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม
ประเภทของแผนธุรกิจ
ประเภทของแผนธุรกิจอาจมีตั้งแต่หน้าเดียวไปจนถึงหลายหน้า พร้อมกราฟและรายงานที่ละเอียด ไม่มีแบบแผนที่ถูกต้องแบบตายตัวในการสร้างแผนธุรกิจ เพราะเป้าหมายคือการสื่อสารข้อมูลที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับบริษัทขให้กับผู้อ่าน
รูปแบบแผนธุรกิจทั่วไปที่เราพบโดยทั่วไป ได้แก่
แผนธุรกิจแบบดั้งเดิม
นี่คือแผนธุรกิจที่พบมากที่สุด แผนธุรกิจแบบดั้งเดิมใช้เวลานานในการเขียนและอาจยาวหลายสิบหน้า บริษัททุนร่วมและผู้ให้กู้ขอแผนนี้ แผนธุรกิจแบบดั้งเดิมอาจไม่จำเป็นหากคุณไม่วางแผนที่จะขอเงินทุนจากภายนอก นั่นคือจุดที่แผนธุรกิจแบบกระชับเข้ามา
แผนธุรกิจแบบกระชับ
แผนธุรกิจแบบกระชับ เป็นเวอร์ชันที่สั้นกว่าของแผนธุรกิจแบบดั้งเดิม ซึ่งมีรูปแบบเดียวกัน แต่รวมเฉพาะข้อมูลที่สำคัญที่สุด ธุรกิจใช้แผนธุรกิจแบบกระชับ เพื่อฝึกอบรมพนักงานใหม่หรือปรับแผนที่มีอยู่สำหรับตลาดเป้าหมายเฉพาะ หากคุณต้องการเขียนแผนธุรกิจเพื่อวัตถุประสงค์ในการวางแผนของคุณเองเมื่อเริ่มธุรกิจสตาร์ทอัพขนาดเล็ก ผนธุรกิจแบบกระชับมักจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แผนธุรกิจไม่แสวงหากำไร
แผนธุรกิจไม่แสวงหาผลกำไร จะใช้สำหรับหน่วยงานใดๆ ที่ดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือสังคม มักครอบคลุมทุกอย่างที่คุณจะพบในแผนธุรกิจแบบดั้งเดิม รวมถึงส่วนที่อธิบายถึงผลกระทบที่บริษัทวางแผนจะสร้าง ตัวอย่างเช่น แบรนด์ลำโพงและหูฟังจะสื่อสารว่าพวกเขามุ่งหวังที่จะช่วยคนที่มีความพิการทางการได้ยิน โดยผู้บริจาคมักขอดูแผนธุรกิจประเภทนี้
📚 อ่านเพิ่มเติม: 7 ตัวอย่างแผนธุรกิจเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณ (2024)
7 เคล็ดลับการทำแผนธุรกิจขนาดเล็ก
มาดูแนวทางดีๆ ในการเขียนแผนธุรกิจ แม้ว่าแผนของคุณอาจจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับธุรกิจและเป้าหมาย แต่เคล็ดลับเหล่านี้อาจช่วยคุณได้เช่นกัน
1. รู้จักคนอ่านแผน
เมื่อคุณรู้ว่าผู้ที่จะอ่านแผนของคุณคือใคร แม้ว่าคุณจะเขียนเพื่อวัตถุประสงค์ของตัวเองเพื่อชี้แจงแนวคิดของคุณ คุณสามารถปรับแต่งภาษาและระดับรายละเอียดให้เหมาะสม นี่จะช่วยให้คุณมั่นใจว่าคุณรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สุดและสามารถตัดสินใจได้ว่าเมื่อใดควรละเว้นส่วนที่ไม่สำคัญ
2. มีเป้าหมายชัดเจน
เมื่อสร้างแผนธุรกิจ คุณจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นและส่งมอบแผนที่ละเอียดมากขึ้น หากเป้าหมายของคุณคือการขอทุนสำหรับธุรกิจ เทียบกับการทำแผนสำหรับตัวคุณเองหรือทีมของคุณ
3. ใช้เวลาในการวิจัย
ส่วนต่างๆ ของแผนธุรกิจของคุณจะได้รับข้อมูลจากแนวคิดและวิสัยทัศน์ของคุณเป็นหลัก แต่ข้อมูลที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องการต้องการการวิจัยจากแหล่งข้อมูลที่เป็นอิสระ นี่คือที่ที่คุณสามารถใช้เวลาในการทำความเข้าใจว่าคุณกำลังขายให้ใคร มีความต้องการสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณหรือไม่ และใครอีกบ้างที่ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คล้ายกัน
4. กระชับและตรงประเด็น
ไม่ว่าคุณจะเขียนให้ใคร แผนธุรกิจของคุณควรกระชับและอ่านง่าย โดยทั่วไปไม่ควรยาวเกิน 15 ถึง 20 หน้า หากคุณมีเอกสารเพิ่มเติมที่คุณคิดว่าอาจมีค่าแก่ผู้ชมและเป้าหมายของคุณ ให้พิจารณาเพิ่มเป็นภาคผนวก
5. โทนและสไตล์สอดคล้องกัน
วิธีที่ดีที่สุดคือผู้เขียนแผนธุรกิจควรมีคนเดียว โดยการให้เวลาสำหรับการแก้ไขแผนอย่างเหมาะสมก่อนที่จะเผยแพร่
6. ใช้เทมเพลตแผนธุรกิจ
คุณยังสามารถใช้เทมเพลตแผนธุรกิจฟรี เพื่อให้โครงสร้างในการเขียนแผน ซึ่งเทมเพลตเหล่านี้มักช่วยให้คุณผ่านแต่ละส่วน จากการคาดการณ์ทางการเงินไปจนถึงการวิจัยตลาดไปจนถึงคำชี้แจงภารกิจ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่พลาดขั้นตอนใดๆ
7. ใช้ซอฟต์แวร์แผนธุรกิจ
การเขียนแผนธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเจ้าของธุรกิจ แต่เป็นสิ่งสำคัญ โชคดีที่มีเครื่องมือช่วยในทุกอย่างตั้งแต่การวางแผน การร่าง การสร้างกราฟ การซิงค์ข้อมูลทางการเงิน และอื่นๆ ซอฟต์แวร์แผนธุรกิจยังมีเทมเพลตแผนธุรกิจและบทเรียนเพื่อช่วยให้คุณทำแผนที่ครอบคลุมให้เสร็จในไม่กี่ชั่วโมงแทนที่จะเป็นหลายวัน
ตัวเลือกที่คัดสรรมาแล้วบางส่วน ได้แก่
- LivePlan ตัวเลือกคุ้มค่าที่สุด พร้อมตัวอย่างและเทมเพลต
- Bizplan ปรับแต่งสำหรับสตาร์ทอัพที่ต้องการเงินลงทุน
- Go Small Biz ตัวเลือกที่ประหยัดงบฯ พร้อมเทมเพลตเฉพาะ
📚 อ่านเพิ่มเติม: 6 แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์แผนธุรกิจที่ดีที่สุด (2024)
ข้อผิดพลาดทั่วไปเมื่อเขียนแผนธุรกิจ
บทความอื่นๆ เกี่ยวกับแผนธุรกิจจะไม่บอกคุณในสิ่งที่เรากำลังจะบอก นั่นคือ แผนธุรกิจของคุณอาจล้มเหลว และสิ่งที่คุณเสียไปก็คือเวลาและความพยายามที่สูญเปล่า ดังนั้นมาดูว่าอะไรบ้างที่ควรหลีกเลี่ยง
- แนวคิดธุรกิจไม่ดี: บางครั้งแนวคิดของคุณอาจมีความเสี่ยงเกินไปสำหรับนักลงทุนที่มีศักยภาพหรือมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมากเกินไป หรือไม่มีตลาด มุ่งไปที่แนวคิดธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการต้นทุนเริ่มต้นต่ำ
- แผนที่ไม่มีทางออก: หากคุณไม่แสดงแผนที่มีทางออกหรือแผนสำหรับนักลงทุนในการออกจากธุรกิจด้วยผลกำไรสูงสุด คุณจะมีโอกาสน้อยที่จะได้เงินทุน
- ทีมที่ไม่สมดุล: สินค้าที่ยอดเยี่ยมเป็นค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจ แต่ทีมที่ยอดเยี่ยมจะนำไปสู่ความสำเร็จ น่าเสียดายที่เจ้าของธุรกิจหลายคนมองข้ามทีมที่สมดุล พวกเขามุ่งเน้นไปที่ผลกำไรที่อาจเกิดขึ้น โดยไม่สนใจว่าจะทำอย่างไรในเชิงปฏิบัติ
- การคาดการณ์ทางการเงินที่ขาดหายไป: อย่าลืมรวมงบแสดงฐานะการเงิน งบกระแสเงินสด งบกำไรขาดทุน และการวิเคราะห์จุดคุ้มทุนในคาดการณ์ทางการเงินของคุณเพื่อสร้างแผนธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
- ข้อผิดพลาดในการสะกดและไวยากรณ์: องค์กรที่ดีที่สุดทั้งหมดมีบรรณาธิการตรวจสอบเอกสารของพวกเขา หากมีใครพบข้อผิดพลาดขณะอ่านแผนธุรกิจของคุณ ข้อผิดพลาดเล็กน้อยเหล่านั้นสามารถสร้างความรู้สึกไม่ไว้วางใจในความสามารถของคุณในการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ แม้มันจะดูเล็กน้อย แต่ความสามารถในการอ่านและการเขียนที่ปราศจากข้อผิดพลาดช่วยให้เกิดความประทับใจที่ดีต่อผู้ชมแผนธุรกิจ
การปรับปรุงและแก้ไขแผนธุรกิจ
แผนธุรกิจไม่ใช่เอกสารที่ตายตัว โลกธุรกิจเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและแผนของคุณจะต้องตามให้ทัน คุณไม่ต้องการให้มันล้าสมัย
นี่คือกฎทั่วไปสำหรับการปรับปรุงแผนธุรกิจ
ระยะเวลาในการตรวจสอบ | การดำเนินการ |
---|---|
ประจำปี |
|
รายไตรมาส |
|
รายเดือน |
|
- รายเดือน: อัปเดต KPI เช่น ยอดขาย การเข้าชมเว็บไซต์ และต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้า ตรวจสอบกระแสเงินสด สถานการณ์เงินเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่? ทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น
- รายไตรมาส: บรรลุเป้าหมายหรือไม่? อย่าลืมอัปเดตผลการดำเนินงานทางการเงิน แคมเปญการตลาดที่ประสบความสำเร็จ และเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ที่เกิดขึ้นล่าสุด
- ประจำปี: คิดว่านี่คือการปรับปรุงใหญ่ เปรียบเทียบการคาดการณ์กับผลจริงและอัปเดตการคาดการณ์
เมื่อคุณปรับปรุงแผนของคุณ อย่าเพียงแค่ทำตามความรู้สึก แต่ควรใช้ข้อมูล เช่น การสำรวจและการวิเคราะห์เว็บไซต์เพื่อแจ้งการปรับปรุงแต่ละครั้ง การใช้ข้อมูลที่ล้าสมัยจะนำไปสู่ความสับสนและโอกาสที่พลาดไป
อย่าลืมไม่เพียงแต่ปรับปรุงส่วนเดียวของแผนของคุณ ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน โชคดีที่ด้วยซอฟต์แวร์แผนธุรกิจ คุณสามารถให้ความสนใจกับแผนของคุณได้อย่างง่ายดายและช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต
วิธีนำเสนอแผนธุรกิจ
นี่คือเคล็ดลับสำหรับการนำเสนอแผนธุรกิจของคุณต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
เข้าใจคนอ่านแผนธุรกิจ
เริ่มต้นด้วยการทำการบ้านเกี่ยวกับผู้ที่คุณจะนำเสนอ พวกเขาคือนักลงทุน คู่ค้าที่มีศักยภาพ หรือธนาคาร? กลุ่มแต่ละกลุ่มจะมีความสนใจและความคาดหวังที่แตกต่างกัน
พิจารณาสิ่งต่อไปนี้เกี่ยวกับผู้ชมการนำเสนอของคุณ
- ภูมิหลัง: ประสบการณ์ทางวิชาชีพของพวกเขาคืออะไร?
- ระดับความรู้: พวกเขาคุ้นเคยกับอุตสาหกรรมของคุณมากน้อยแค่ไหน?
- ความสนใจ: องค์ประกอบใดของแผนธุรกิจที่จะทำให้พวกเขาตื่นเต้นมากที่สุด?
- ข้อกังวล: อะไรที่อาจทำให้พวกเขาลังเลเกี่ยวกับแนวคิดของคุณ?
ขึ้นอยู่กับว่าคุณนำเสนอให้ใคร คุณสามารถปรับแต่งการนำเสนอของคุณได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังนำเสนอให้กับกลุ่มนักลงทุน ก็อาจต้องการเน้นการคาดการณ์ทางการเงินและการวิเคราะห์ตลาด
จัดระเบียบการนำเสนอ
เมื่อคุณรู้จักผู้ชมผู้อ่านแผนแล้ว คุณสามารถจัดระเบียบการนำเสนอได้ คิดว่านี่คือเรื่องราวที่คุณจะบอกกับผู้ฟัง การนำเสนอที่มีโครงสร้างดีช่วยให้ผู้ฟังติดตามและจดจำจุดสำคัญได้
การเปิดของคุณควรดึงดูดความสนใจและให้ภาพรวมสิ่งที่จะเกิดขึ้น มันเหมือนกับการนำเสนอแบบ Elevator Pitch ที่ให้ภาพรวมเกี่ยวกับแนวคิดธุรกิจของคุณ
จากนั้น แบ่งการนำเสนอของคุณออกเป็นส่วนที่ชัดเจน ได้แก่
- ปัญหา: คุณกำลังแก้ไขปัญหาอะไร?
- ทางออก: ธุรกิจของคุณจัดการกับปัญหานี้อย่างไร?
- ตลาด: ลูกค้าศักยภาพคือใคร?
- การแข่งขัน: มีใครอีกบ้างในพื้นที่นี้ และคุณแตกต่างจากพวกเขาอย่างไร?
- โมเดลธุรกิจ: จะทำเงินได้อย่างไร?
- การคาดการณ์ทางการเงิน: ค่าใช้จ่ายและรายได้ที่คาดหวังคืออะไร?
- ทีม: ใครมีส่วนร่วม และอะไรทำให้พวกเขาเหมาะสมกับหน้าที่นี้?
ใช้สื่อช่วยในการสนับสนุนจุดของคุณ กราฟ แผนภูมิ และแม้แต่ภาพประกอบง่ายๆ สามารถทำให้ข้อมูลของคุณเข้าใจง่ายขึ้น อย่าลืมฝึกซ้อมการนำเสนอของคุณด้วย เวลาเป็นสิ่งสำคัญ การนำเสนอที่ดีจะไหลลื่น โดยให้ความสนใจกับแต่ละส่วนตามที่ผู้ชมต้องการ
จัดการกับข้อโต้แย้งและคำถาม
การเผชิญหน้ากับข้อโต้แย้งหรือคำถามอาจทำให้รู้สึกเครียด แต่จริงๆ แล้วมันเป็นโอกาสที่ดี มันแสดงให้เห็นว่าผู้ฟังของคุณมีส่วนร่วมและคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับแนวคิด กุญแจสำคัญคือการเตรียมตัว
พยายามคาดการณ์คำถามที่อาจเกิดขึ้น เอาใจเขามาใส่ใจเรา คุณต้องการรู้เรื่องอะไรหากคุณเป็นนักลงทุน? เตรียมหาคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามเหล่านี้ล่วงหน้า
ในช่วงเวลาที่ได้รับคำถาม สิ่งที่คุณควรทำคือ
- ฟังอย่างตั้งใจ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจคำถามอย่างเต็มที่ก่อนที่จะตอบ
- รักษาทัศนคติที่ดี: แม้ว่าคำถามจะดูวิจารณ์ แต่ให้ตอบด้วยความกระตือรือร้น
- ซื่อสัตย์: หากคุณไม่รู้บางอย่างก็ไม่เป็นไร ลองเสนอที่จะหาข้อมูลและติดตามผล
การจัดการคำถามได้ดีแสดงให้เห็นว่าคุณมีความรู้ ความคิด และเปิดรับข้อเสนอแนะแต่ละอย่าง ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกมั่นใจในแผนธุรกิจของคุณ
เตรียมแผนธุรกิจของคุณวันนี้
แผนธุรกิจสามารถช่วยให้คุณระบุขั้นตอนถัดไปที่ชัดเจนและมีเป้าหมายสำหรับธุรกิจ แม้ว่าคุณจะไม่วางแผนที่จะนำเสนอต่อนักลงทุน เพราะแผนธุรกิจจะสามารถช่วยให้คุณเห็นช่องว่างในแผนของคุณก่อนที่มันจะกลายเป็นปัญหา
ไม่ว่าคุณจะทำงานเกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ใหม่ๆ หรือซื้อธุรกิจที่มีอยู่ ตอนนี้คุณเข้าใจวิธีการเขียนแผนธุรกิจที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความต้องการของธุรกิจของคุณ
ภาพประกอบโดย Rachel Tunstall
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผนธุรกิจ
เราจะเขียนแผนธุรกิจได้อย่างไร?
การเรียนรู้วิธีการเขียนแผนธุรกิจนั้นง่าย หากคุณใช้เทมเพลตแผนธุรกิจหรือซอฟต์แวร์แผนธุรกิจ โดยทั่วไปแล้ว แผนธุรกิจแบบดั้งเดิมสำหรับธุรกิจใหม่ทุกแห่งควรมีส่วนประกอบต่อไปนี้
- บทสรุปผู้บริหาร
- คำอธิบายบริษัท รวมถึงข้อเสนอคุณค่า
- การวิเคราะห์ตลาดและการวิเคราะห์การแข่งขัน
- การจัดการและองค์กร
- ผลิตภัณฑ์และบริการ
- การแบ่งกลุ่มลูกค้า
- แผนการตลาด
- โลจิสติกส์และการดำเนินงาน
- แผนการเงินและการคาดการณ์ทางการเงิน
แผนธุรกิจที่ดีคืออะไร?
แผนธุรกิจที่ดีสื่อสารวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทของคุณอย่างชัดเจน มักเริ่มต้นด้วยบทสรุปผู้บริหาร จากนั้นสรุปความเป็นไปได้ของแนวคิด ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดเป้าหมาย และภูมิทัศน์การแข่งขันอย่างเพียงพอ
เทมเพลตแผนธุรกิจสามารถช่วยให้ธุรกิจมั่นใจว่าเนื้อหาของแผนจะเป็นไปตามรูปแบบทั่วไปของ Business Plan แบบดั้งเดิม ซึ่งรวมถึงการคาดการณ์ทางการเงิน รายละเอียดเกี่ยวกับทีมบริหาร และองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ ที่บริษัททุนร่วมและนักลงทุนที่มีศักยภาพต้องการเห็น
วัตถุประสงค์หลัก 3 ประการของแผนธุรกิจคืออะไร?
วัตถุประสงค์หลัก 3 ประการของแผนธุรกิจคือ
- เพื่อชี้แจงแผนการเติบโตธุรกิจ
- เพื่อเข้าใจความต้องการทางการเงิน
- เพื่อดึงดูดนักลงทุนหรือขอสินเชื่อ
ประเภทของแผนธุรกิจมีอะไรบ้าง?
ประเภทของแผนธุรกิจ รวมถึงการเริ่มต้น การปรับโฟกัสภายในหรือประจำปี กลยุทธ์ ความเป็นไปได้ การดำเนินงาน การเติบโต และตามสถานการณ์ แต่ละประเภทของแผนธุรกิจมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน รูปแบบแผนธุรกิจรวมถึงแบบดั้งเดิม แบบกระชับ และไม่แสวงหาผลกำไร ค้นหาเทมเพลตแผนธุรกิจให้ตรงกับประเภทของแผนที่คุณต้องการเขียน