ทุกวันนี้ การทำตลาดบนโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม การมีตัวตนบนแพลตฟอร์มยอดนิยมเป็นเรื่องจำเป็น แต่การสร้างบัญชีแบบไม่มีการเคลื่อนไหวหรือโพสต์ภาพนิ่งเป็นครั้งคราวอาจไม่เพียงพอ
โดยเฉลี่ยแล้ว คนใช้เวลากว่า 147 นาทีต่อวันบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งหมายถึงเวลากว่าสองชั่วโมงที่ถูกใช้ไปกับการโพสต์และเสพคอนเทนต์ แบรนด์ที่ต้องการดึงความสนใจจากผู้ใช้จำเป็นต้องมี กลยุทธ์ Social Media Marketing ที่แข็งแกร่งเพื่อให้โดดเด่นในฟีดของพวกเขา
มาดูกันว่าวิธีทำ Social Media Marketing ให้มีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร พร้อมตัวอย่างจากแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ และเคล็ดลับในการเพิ่มผลลัพธ์จากการตลาดของธุรกิจ
15 วิธีทำ Social Media Marketing
- วางกลยุทธ์การตลาดบนโซเชียลมีเดีย
- เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับแบรนด์
- ปรับแต่งโปรไฟล์ให้ดึงดูดและครบถ้วน
- แนะนำตัวเองให้ผู้ติดตามรู้จัก
- ใช้แฮชแท็กให้เป็นประโยชน์
- ลงโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย
- ทำแคมเปญการตลาดร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์
- เปิดร้านขายสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย
- ใช้ฟีเจอร์ Live เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
- สื่อสารและตอบโต้กับแฟนๆ ผู้ติดตาม
- จัดการแข่งขันหรือแจกของรางวัล
- ใช้ประโยชน์จากเทรนด์ที่กำลังมาแรง
- สร้างคอมมูนิตี้ของแบรนด์
- ใช้เครื่องมือที่ช่วยจัดการโซเชียลมีเดียให้มีประสิทธิภาพ
- ทดสอบและติดตามผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ
1. วางกลยุทธ์การตลาดบนโซเชียลมีเดีย
ก่อนเริ่มทำตลาดบนโซเชียลมีเดีย การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนจะช่วยให้โฟกัสและใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดเป้าหมายของแบรนด์
เป้าหมายของการทำ Social Media Marketing อาจรวมถึง
- เพิ่มการรับรู้แบรนด์
- ดึงทราฟฟิกไปยังเว็บไซต์
- สร้างโอกาสทางธุรกิจ (เช่น การเก็บอีเมลลูกค้า)
- เพิ่มยอดขาย
- พัฒนาการให้บริการลูกค้า
- สร้างความภักดีและความสัมพันธ์กับลูกค้า
- ขยายเครือข่ายทางธุรกิจ
หากยังไม่ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการระบุให้ชัดเจน เจาะจงรายละเอียดให้มากที่สุด เพื่อให้เข้าใจว่าพวกเขาใช้แพลตฟอร์มไหน มีพฤติกรรมอย่างไร และมักออนไลน์ช่วงเวลาไหน
วิธีเรียนรู้กลุ่มเป้าหมาย
- สอบถามโดยตรง – ใช้แบบสำรวจ โพล หรือดูคอมเมนต์ในโพสต์ เพื่อให้เข้าใจว่าพวกเขาต้องการอะไรจากแบรนด์
- ใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย – แพลตฟอร์มหลักมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยให้รู้ข้อมูลด้านอายุ เพศ สถานที่ และความสนใจของผู้ติดตาม
- ศึกษาคู่แข่ง – ดูว่าคอนเทนต์ไหนของแบรนด์อื่นที่มีกลุ่มเป้าหมายคล้ายกันได้รับความนิยม และพฤติกรรมการตอบสนองของผู้ใช้เป็นอย่างไร
หลังจากกำหนดเป้าหมายและเข้าใจกลุ่มเป้าหมายแล้ว ควรวางแผนเนื้อหาให้เหมาะสม และปรับตามพฤติกรรมผู้ใช้ในแต่ละแพลตฟอร์ม
การมีปฏิทินคอนเทนต์ช่วยให้วางแผนโพสต์ล่วงหน้า เช่น การทำโปรโมชั่นในช่วงเทศกาลหรือการเปิดตัวสินค้าใหม่ ตัวอย่างจาก TikTok ของ Hauste และ YETI แสดงให้เห็นว่าคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับโอกาสพิเศษสามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้ดี
อย่าลืมเปิดโอกาสให้มีความยืดหยุ่น เพราะโซเชียลมีเดียเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยเทรนด์ ดังนั้น ควรพร้อมปรับกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2. เลือกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เหมาะกับแบรนด์
ไม่จำเป็นต้องอยู่บนทุกแพลตฟอร์ม เพราะในบางกรณีอาจเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ตัวอย่างเช่น หากกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยที่มีอายุ Facebook อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า ในขณะที่ TikTok อาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าที่ควร
ด้านล่างนี้คือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
การตลาดบน Instagram เป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล โดยเฉพาะแบรนด์ที่เน้นความสวยงาม มีคอนเทนต์ที่ดึงดูดสายตา และสามารถให้ความบันเทิงหรือให้ความรู้ผ่านรูปภาพและวิดีโอ
Instagram เป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับธุรกิจความงามและแฟชั่น แต่ก็ได้รับความนิยมในหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ร้านหนังสือ หรือธุรกิจประเภทอื่นๆ ด้วยจำนวนผู้ใช้งานกว่า 1.4 พันล้านคนต่อเดือน ทำให้เป็นแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพสูงสำหรับ Social Media Marketing
แนวทางที่ได้ผลบน Instagram
- โฟกัสที่คอนเทนต์คุณภาพสูงและน่าสนใจ
- ใช้ Instagram Stories เพื่อโพสต์เบื้องหลังธุรกิจและโปรโมชั่นระยะสั้น
- ใช้ Instagram Reels เพื่อสร้างคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่มีความน่าสนใจ
- สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามผ่านคอมเมนต์และ DM
Facebook เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 3 พันล้านคนต่อเดือน และเหมาะสำหรับการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ที่มีอายุ รวมถึงกลุ่มวัย 25-34 ปี อีกทั้งยังเป็นช่องทางที่ดีสำหรับการรวบรวมรีวิวและคะแนนจากลูกค้า รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
การเชื่อมต่อร้านค้า Shopify กับ Instagram และ Facebook ช่วยให้สามารถขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้โดยตรง
เพจ Facebook ของ Gymshark เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้โซเชียลมีเดียสร้าง Social Proof ผ่านระบบรีวิวที่แสดงบนหน้าเพจ
แนวทางที่ได้ผลบน Facebook
- ใช้คอนเทนต์หลากหลาย เช่น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ และลิงก์
- ใช้ Facebook Groups เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ของแบรนด์
- ใช้ Facebook Live เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมแบบเรียลไทม์
- ใช้ Facebook Ads เพื่อทำการตลาดแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย
TikTok
TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมสูงและเปิดรับคอนเทนต์ใหม่ๆ ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายของการค้นพบสินค้า โดยผู้ใช้คุ้นเคยกับการเห็นคอนเทนต์จากแบรนด์และวิดีโอที่ได้รับการสนับสนุนจากครีเอเตอร์ที่พวกเขาชื่นชอบ
44% ของผู้ใช้ Gen Z เห็นว่า TikTok ช่วยให้พวกเขาค้นพบสิ่งใหม่ๆ ได้ หากต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อายุน้อย โดยเฉพาะช่วงอายุ 18-24 ปี การทำตลาดบน TikTok เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
แนวทางที่ได้ผลบน TikTok
- สร้างคอนเทนต์ที่ให้ความบันเทิง มีความเป็นธรรมชาติ และอิงกับเทรนด์
- เข้าร่วมชาเลนจ์ยอดนิยมและใช้เสียงที่กำลังมาแรง
- ทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์บน TikTok เพื่อขยายการเข้าถึง
- ใช้แฮชแท็กอย่างมีกลยุทธ์เพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกค้นพบ
- ทำวิดีโอที่สั้น กระชับ และดึงดูดความสนใจตั้งแต่แรก
แม้ว่า Pinterest จะไม่ได้เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลที่ใหญ่ที่สุด ด้วยจำนวนผู้ใช้งานกว่า 500 ล้านคนต่อเดือน แต่ผู้ใช้ของแพลตฟอร์มนี้มีพฤติกรรมที่น่าสนใจสำหรับแบรนด์ โดย 80% ของผู้ใช้บอกว่าพวกเขาเคยซื้อสินค้าที่ค้นพบผ่าน Pinterest
Pinterest เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มผู้หญิง เนื่องจากเกือบ 70% ของผู้ใช้เป็นผู้หญิง
แนวทางที่ได้ผลบน Pinterest
- ใช้ Rich Pins เพื่อเพิ่มรายละเอียดสำคัญให้กับคอนเทนต์
- จัดระเบียบคอนเทนต์เป็นบอร์ดที่มีธีมชัดเจน
- เขียนคำอธิบายที่ละเอียดและใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มการค้นพบ
- ปักหมุดโพสต์เป็นประจำและเลือกช่วงเวลาที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
LinkedIn อาจไม่ใช่แพลตฟอร์มแรกที่นึกถึงเมื่อพูดถึง Social Media Marketing แต่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเชื่อมต่อกับมืออาชีพและลูกค้า โดยเฉพาะธุรกิจที่เน้น B2B
การสร้างเพจบริษัทและแชร์คอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่สนใจในสินค้าและบริการ อีกทั้งยังเป็นช่องทางในการเชื่อมต่อกับอินฟลูเอนเซอร์ในอุตสาหกรรม
แนวทางที่ได้ผลบน LinkedIn
- แชร์ข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรมและคอนเทนต์ที่แสดงความเป็นผู้นำทางความคิด
- ใช้ LinkedIn Articles เพื่อเผยแพร่คอนเทนต์แบบ Long-form
- มีส่วนร่วมใน LinkedIn Groups ที่เกี่ยวข้อง
- นำเสนอวัฒนธรรมองค์กรและความสำเร็จของพนักงาน
YouTube
YouTube เป็นเสิร์ชเอนจินที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก นอกจากผู้ใช้จะค้นหารีวิวสินค้า วิดีโอแกะกล่อง และการสาธิตผลิตภัณฑ์ที่ต้องการซื้อแล้ว วิดีโอบน YouTube ยังสามารถติดอันดับใน Google ได้อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ YouTube จึงเป็นช่องทางทำตลาดบนโซเชียลมีเดียที่มีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ใช้เวลาดูวิดีโอเฉลี่ย 28 ชั่วโมง 5 นาทีต่อเดือน การสร้างวิดีโอที่ให้คุณค่าและปรับแต่งให้เหมาะกับการค้นหาจะช่วยให้แบรนด์ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำตลาดบนแพลตฟอร์มนี้
แนวทางที่ได้ผลบน YouTube
- สร้างวิดีโอคุณภาพสูงที่ให้ข้อมูลและเป็นประโยชน์
- ใช้ภาพหน้าปก (thumbnail) ที่ดึงดูดความสนใจเพื่อเพิ่มอัตราการคลิก
- สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ชมผ่านคอมเมนต์
- ใช้ YouTube Shorts สำหรับคอนเทนต์วิดีโอแบบสั้น
Snapchat
Snapchat เป็นแอปส่งข้อความที่ให้ผู้ใช้ส่งและรับรูปภาพหรือวิดีโอที่เรียกว่า "snaps" ซึ่งจะหายไปหลังจากถูกเปิดดูแล้ว สามารถใช้ Snapchat ในการทำตลาดโดยใช้ Snapchat Ads
หากต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อายุน้อย มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ Snapchat จำนวน 422 ล้านคนต่อเดือน อยู่ในช่วงอายุ 13-24 ปี (Gen Alpha และ Gen Z)
สิ่งที่ได้ผลบน Snapchat
- สร้างคอนเทนต์ที่สนุกและมีความเป็นธรรมชาติ เพื่อให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายที่อายุน้อย
- ใช้ฟิลเตอร์และเลนส์ของ Snapchat เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์
- ใช้ Snap Ads สำหรับการทำโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม
- เสนอโปรโมชั่นพิเศษที่มีระยะเวลาจำกัด
แพลตฟอร์มอื่นๆ
ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายและพฤติกรรมของพวกเขา อาจพบว่าแพลตฟอร์มที่เล็กกว่าหรือนิชกว่าอาจให้ผลลัพธ์ที่ดี เช่น WeChat หรือแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในบางประเทศ การทำวิจัยกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้ค้นพบช่องทางเหล่านี้
3. ปปรับแต่งโปรไฟล์โซเชียลมีเดียให้น่าสนใจ
โปรไฟล์โซเชียลมีเดียเป็นอีกหนึ่งจุดสัมผัสสำคัญระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ควรใช้พื้นที่นี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยใช้ภาพลักษณ์ที่สื่อถึงแบรนด์และนำเสนอเอกลักษณ์ของแบรนด์ผ่าน Bio
ส่วนใหญ่แพลตฟอร์มมีช่องให้ใส่ลิงก์ ซึ่งสามารถใช้ link consolidator เช่น linkinbio เพื่อรวมลิงก์ต่างๆ ไว้ในหน้าเดียว แบรนด์หลายแห่งมักใส่ลิงก์ไปยังหน้าโฮมเพจ แต่บางธุรกิจอาจเลือกใช้หน้าแลนดิ้งเพจเฉพาะสำหรับทราฟฟิกจากโซเชียลมีเดีย หรือแคมเปญและโปรโมชั่นที่กำลังจัดอยู่
บางแพลตฟอร์มให้สิทธิพิเศษเพิ่มเติมเมื่อสมัครเป็นบัญชีธุรกิจ เช่น Doe Lashes ที่ใช้ภาพลักษณ์ของแบรนด์และคีย์เวิร์ดสำคัญในโปรไฟล์บน Pinterest พร้อมทั้งใช้ tags ซึ่งเป็นฟีเจอร์เฉพาะสำหรับธุรกิจ เพื่อบอกเล่าคุณค่าของแบรนด์ให้กับผู้ใช้
บน Instagram แบรนด์อย่าง The Herbivorous Butcher และ Revol Cares ใช้ฟีเจอร์บัญชีธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเพิ่ม ข้อมูลติดต่อ ที่อยู่ร้าน และปุ่ม Call to Action (CTA) เช่น “ลงทะเบียน” และ “สั่งอาหาร” เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมจากลูกค้า
4. แนะนำตัวเองให้ผู้ติดตามรู้จัก
พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าลูกค้าต้องการเชื่อมโยงกับแบรนด์ที่พวกเขาสนับสนุน วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความสัมพันธ์นี้คือการทำให้แบรนด์ดูมีความเป็นมนุษย์ เจ้าของธุรกิจสามารถเรื่องราวการเดินทางของตัวเองผ่านแบรนด์ และหาวิธีสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมายผ่านคอนเทนต์บนแต่ละแพลตฟอร์ม
บน YouTube สามารถอัปโหลด Channel Trailer เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมใหม่เข้าใจเรื่องราวและคุณค่าของแบรนด์ได้ทันที เช่นเดียวกับ Blenders Eyewear ที่ใช้แนะนำตัวเองผ่านช่องของพวกเขา
Social Media Marketing มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโต แต่สิ่งสำคัญคือการไม่มองโซเชียลมีเดียเป็นเพียงช่องทางโฆษณาแบบเดิมๆ ความจริงใจ ความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นธรรมชาติ จะช่วยให้แบรนด์สร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับผู้ติดตามและลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
5. ใช้แฮชแท็กอย่างมีกลยุทธ์
การทำ Social Media Marketing ควรมีแนวทางการใช้แฮชแท็กที่ชัดเจน เพราะการใส่แฮชแท็กตามเทรนด์ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือคอนเทนต์อาจไม่ส่งผลดีเท่าที่ควร
เลือกใช้แฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย ลองสำรวจว่าในแต่ละแพลตฟอร์มมีแฮชแท็กเฉพาะกลุ่มหรือคอมมูนิตี้ที่ช่วยให้คอนเทนต์เข้าถึงคนที่สนใจจริงๆ หรือไม่ เช่น #booktok บน TikTok ที่เหมาะกับธุรกิจเกี่ยวกับหนังสือ ตัวอย่างจาก Glassette ที่ใช้แฮชแท็กตามเทศกาลเพื่อเพิ่มการมองเห็นบน Instagram
แม้ว่าเทรนด์จะเปลี่ยนเร็ว แต่บางแฮชแท็กยังคงมีผลต่อเนื่อง แม้จะมีการแข่งขันสูง เช่น #tiktokmademebuyit ที่ช่วยให้ร้านค้าอีคอมเมิร์ซใช้ทำการตลาดได้ดี
แฮชแท็กที่สร้างขึ้นเฉพาะสำหรับแบรนด์ยังช่วยสร้างคอมมูนิตี้และเชื่อมโยงลูกค้าเข้าหากัน รวมถึงเป็นเครื่องมือที่ดีในการรวบรวม User-Generated Content (UGC) (เนื้อหาที่สร้างโดยยูสเซอร์) แต่ควรมีการกระตุ้นให้ลูกค้าใช้ เช่น การเพิ่มแฮชแท็กในโพสต์ ใส่ไว้ใน bio หรือจัดแคมเปญแจกของรางวัลที่ต้องใช้แฮชแท็ก
ตัวอย่างเช่น Gymshark ใช้แฮชแท็กที่จดจำง่าย โดยใช้ชื่อแบรนด์เป็นหลัก ทำให้ผู้ติดตามสามารถมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ของแบรนด์ได้ง่ายขึ้น
6. ลงโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย
Facebook Ads เป็นหนึ่งในวิธีทำโฆษณาบนโซเชียลมีเดียยอดนิยมที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถโปรโมตสินค้าได้ทั้งบน Facebook และ Instagram โดยสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามความสนใจ ข้อมูลประชากร และพฤติกรรมของผู้ใช้
แม้ว่าโฆษณาบน Facebook และ Instagram จะได้รับความนิยมสูง แต่แพลตฟอร์มอื่นๆ ก็มีตัวเลือกโฆษณาสำหรับบัญชีธุรกิจเช่นกัน บน Pinterest มีรูปแบบโฆษณาหลากหลาย เช่น quiz ads, video ads และ carousel ads โดยโฆษณาจะดูคล้ายกับโพสต์ปกติ เพียงแต่มีป้าย "Promoted by" กำกับไว้
การตั้งแคมเปญโฆษณาควรมุ่งไปที่เป้าหมายที่ชัดเจน เช่น เพิ่มจำนวนอีเมลลูกค้า สร้างการรับรู้แบรนด์ หรือกระตุ้นความสนใจก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่
เมื่อสร้างโฆษณา ควรให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมชาติและมอบคุณค่าให้กับผู้ใช้ โฆษณาที่กลมกลืนกับคอนเทนต์อื่นๆ บนฟีด หรือเสนอโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ เช่น ตัวอย่างโฆษณาบน Instagram จาก Knix และ Casper ที่ทำให้ผู้ใช้ต้องหยุดดู
การใช้ภาพของ คนจริงที่ใช้สินค้า ทดสอบรูปแบบโฆษณาต่างๆ และติดตาม เมตริกที่สำคัญต่อธุรกิจ จะช่วยให้สามารถปรับปรุงกลยุทธ์การทำโฆษณาบนโซเชียลมีเดียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
7. ทำแคมเปญการตลาดร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์
การร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์หรือครีเอเตอร์บนโซเชียลมีเดียเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยขยายการเข้าถึง แต่ควรเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมกับแบรนด์และสินค้า เพื่อให้คอนเทนต์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือ
“ความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกวันนี้มีแบรนด์จำนวนมากจ่ายเงินให้อินฟลูเอนเซอร์ใส่สินค้า แต่ดูเหมือนเป็นโฆษณาที่ชัดเจนเกินไป” เอราน เอลฟาสซี ผู้ก่อตั้ง Mackage กล่าว “ลองเริ่มจากอินฟลูเอนเซอร์ที่มียอดติดตามน้อยกว่า แต่ต้องเป็นคนที่เข้ากับสไตล์ของแบรนด์จริงๆ”
ตัวอย่างจาก Inkbox ที่ร่วมมือกับครีเอเตอร์ Mollie Rose บน TikTok เพื่อโปรโมตรอยสักชั่วคราวสำหรับนิ้วมือ แสดงให้เห็นว่าการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้ากับผลิตภัณฑ์ช่วยให้คอนเทนต์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
การร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์หรือครีเอเตอร์บนโซเชียลมีเดียเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยขยายการเข้าถึง แต่ควรเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมกับแบรนด์และสินค้า เพื่อให้คอนเทนต์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือ
“ความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกวันนี้มีแบรนด์จำนวนมากจ่ายเงินให้อินฟลูเอนเซอร์ใส่สินค้า แต่ดูเหมือนเป็นโฆษณาที่ชัดเจนเกินไป” เอราน เอลฟาสซี ผู้ก่อตั้ง Mackage กล่าว “ลองเริ่มจากอินฟลูเอนเซอร์ที่มียอดติดตามน้อยกว่า แต่ต้องเป็นคนที่เข้ากับสไตล์ของแบรนด์จริงๆ”
ตัวอย่างจาก Inkbox ที่ร่วมมือกับครีเอเตอร์ Mollie Rose บน TikTok เพื่อโปรโมตรอยสักชั่วคราวสำหรับนิ้วมือ แสดงให้เห็นว่าการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้ากับผลิตภัณฑ์ช่วยให้คอนเทนต์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
8. เปิดร้านค้าบนโซเชียลมีเดีย
การทำตลาดบนโซเชียลมีเดียสามารถไปได้ไกลกว่าการโพสต์คอนเทนต์ทั่วไป โดยเปิดให้ลูกค้าซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มได้โดยตรง ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ที่สนใจสินค้าสามารถซื้อได้ง่ายขึ้น ลดขั้นตอนที่ซับซ้อน และเพิ่มโอกาสในการขาย
หากต้องการตั้งค่า Facebook และ Instagram Shop และซิงค์กับร้านค้า Shopify เพียงเพิ่ม Facebook เป็นช่องทางการขาย ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ลูกค้าช้อปผ่านแอปได้โดยตรง ลดแรงเสียดทานในการซื้อสินค้า และช่วยให้ธุรกิจจัดการสต๊อกและยอดขายได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับแบรนด์เสื้อผ้า Miracle Eye ที่ใช้ประโยชน์จากระบบนี้
นอกจากนี้ การเปลี่ยนเป็น บัญชีธุรกิจบน TikTok จะช่วยให้สามารถใช้ฟีเจอร์ TikTok Shopping ได้เช่นกัน บน Pinterest ฟีเจอร์ catalog pins ช่วยดึงข้อมูลสต๊อกและราคาสินค้าจากเว็บไซต์ของร้านมาแสดงในโพสต์โดยอัตโนมัติ ตัวอย่างจาก Herschel แสดงให้เห็นว่าการใช้ catalog pins สามารถช่วยให้สินค้าอยู่ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา เช่น คำค้นหา "running shoes" ที่แสดงโพสต์สินค้าที่สามารถซื้อได้โดยตรง
9. ไลฟ์สด
การไลฟ์สดเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้แบรนด์เชื่อมต่อกับลูกค้าแบบเรียลไทม์ได้อย่างใกล้ชิด สามารถใช้ Facebook Live, Instagram Live, Twitch, YouTube Live หรือ TikTok LIVE เพื่อโปรโมตสินค้า แสดงวิธีใช้ ตอบคำถามผ่าน AMA (Ask Me Anything) หรือพาผู้ชมไปชมเบื้องหลังการทำงานในสตูดิโอหรือโกดังสินค้า
บน TikTok ผู้ใช้สามารถเข้าถึงไลฟ์สดแบบสุ่มได้ง่ายๆ เพียงแตะไอคอนที่มุมซ้ายบนของแอป ทำให้มีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
บน Instagram แบรนด์ Zen Art Supplies ใช้ไลฟ์สดเป็นช่องทางสัมภาษณ์ศิลปินเป็นประจำ และโปรโมตกิจกรรมผ่าน Reels และ Stories เพื่อสร้างความคาดหวังและกระตุ้นให้ผู้ติดตามเข้ามารับชม
10. สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตาม
โซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่ช่องทางสื่อสารทางเดียว การโพสต์คอนเทนต์ที่ดีแล้วปล่อยไว้โดยไม่โต้ตอบ อาจทำให้พลาดโอกาสในการสร้างความภักดีจากผู้ติดตาม การมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคอมเมนต์ ตั้งคำถาม ขอความคิดเห็น ทำโพล หรือรีโพสต์ User-Generated Content (UGC)
ตัวอย่างจาก Huha ที่ใช้ Instagram เป็นช่องทางในการพูดคุยและสอบถามความคิดเห็นจากผู้ติดตามผ่านฟีเจอร์โพล แสดงให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องช่วยให้แบรนด์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
11. จัดกิจกรรมแจกของรางวัลหรือการแข่งขัน
การจัดกิจกรรมแจกของรางวัลเป็นวิธีที่ง่ายและคุ้มค่าในการเพิ่มการเข้าถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย ช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ แชร์คอนเทนต์ กดติดตาม หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ตามเป้าหมายทางธุรกิจ การร่วมมือกับแบรนด์อื่นเพื่อจัดแคมเปญร่วมกันยังช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกันได้มากขึ้น และสร้างรางวัลที่ดึงดูดใจ
หากจัดกิจกรรมแจกของรางวัลบน Instagram สามารถโปรโมตกิจกรรมผ่านโพสต์ Reels และ Stories เพื่อเพิ่มการมองเห็น เช่นเดียวกับตัวอย่างจาก insy และ NoochPOP
เคล็ดลับในการจัดแคมเปญแจกของรางวัลให้ได้ผล
- จัดแคมเปญให้สอดคล้องกับการเปิดตัวสินค้า หรืออีเวนต์สำคัญเพื่อสร้างกระแส
- ใช้เงื่อนไขที่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม เช่น ให้ผู้ใช้กดติดตาม กดไลก์หรือคอมเมนต์ แชร์ UGC หรือแท็กเพื่อน
- ตรวจสอบกฎการจัดแคมเปญของแต่ละแพลตฟอร์มและกฎหมายท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กิจกรรมเป็นไปตามข้อกำหนด
12. ใช้ประโยชน์จากเทรนด์
ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีเทรนด์ใหม่เกิดขึ้นแทบทุกวัน การติดตามเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมของแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญ แต่ก่อนจะเข้าร่วม ควรพิจารณาว่าเทรนด์นั้นเกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือไม่ และสามารถนำเสนอในมุมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้หรือเปล่า
หากพบเทรนด์ที่กำลังมาแรง เช่น เทรนด์ในวงการแฟชั่นหรืออาหาร ลองดูว่าครีเอเตอร์คนอื่นๆ กำลังสร้างคอนเทนต์แบบไหน สิ่งนี้จะช่วยให้เข้าใจว่าคอนเทนต์ประเภทใดที่มีแนวโน้มไวรัล เช่น ในตัวอย่างการค้นหา "pastel makeup look" ที่แสดงวิดีโอที่ได้รับความนิยม
หลายแพลตฟอร์มมีเครื่องมือช่วยติดตามเทรนด์เพื่อให้ครีเอเตอร์และธุรกิจได้เปรียบในการแข่งขัน บน TikTok สามารถกรองเทรนด์ตามช่วงเวลา และดูแนวโน้มที่เกี่ยวข้องกับเพลง ครีเอเตอร์ และแฮชแท็ก เพื่อใช้ข้อมูลเหล่านี้สร้างคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับแบรนด์
13. สร้างคอมมูนิตี้
บนโซเชียลมีเดีย ชุมชนคือกุญแจสำคัญ มีเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเรียกว่าเครือข่ายสังคม
เมื่อคุณมีส่วนร่วมในแต่ละแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย คุณกำลังสร้างฐานลูกค้าในอนาคต—และยังสร้างชุมชนของแฟนๆ รอบแบรนด์ของคุณ
โซเชียลมีเดียคือเครือข่ายที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ดังนั้นการสร้างคอมมูนิตี้รอบตัวแบรนด์จึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ธุรกิจเติบโต
เมื่อมีการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ฐานผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียจะไม่ใช่แค่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แต่ยังกลายเป็นกลุ่มแฟนของแบรนด์ หากเป้าหมายคือการเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์และสร้างการรับรู้ ไม่มีใครเป็นตัวแทนที่ดีไปกว่าผู้ติดตามของแบรนด์เอง การกระตุ้นให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วม พูดคุย และให้รางวัลสำหรับการแชร์ประสบการณ์จะช่วยให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
การสร้างคอมมูนิตี้ไม่ได้หมายถึงแค่ลูกค้า แต่ยังรวมถึงเครือข่ายของแบรนด์และครีเอเตอร์คนอื่นๆ การทำคอนเทนต์ร่วมกับแบรนด์ที่เข้ากันได้สามารถช่วยเพิ่มการเข้าถึงและสร้างความน่าเชื่อถือในกลุ่มผู้ติดตามใหม่
ตัวอย่างเช่น Trixie Mattel ผู้ก่อตั้ง Trixie Cosmetics ได้ร่วมมือกับ Kim Chi บน YouTube ซึ่งช่วยให้ทั้งสองแบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกันและขยายฐานผู้ติดตามไปพร้อมกัน
14. ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม
การจัดการโซเชียลมีเดียให้มีประสิทธิภาพอาจเป็นเรื่องยากหากไม่มีเครื่องมือช่วย เครื่องมือบริหารโซเชียลมีเดียช่วยให้สามารถตั้งเวลาโพสต์ ติดตามการมีส่วนร่วม และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเข้าใจกลุ่มเป้าหมายและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
เครื่องมือที่ช่วยจัดการ Social Media Marketing ได้ดี เช่น:
- Canva สำหรับออกแบบภาพกราฟิก
- Sprout Social สำหรับวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูล
- Buffer หรือ Hootsuite สำหรับบริหารโซเชียลมีเดียและวางแผนปฏิทินคอนเทนต์
- Brandwatch สำหรับติดตามความคิดเห็นเกี่ยวกับแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย
- Feedhive สำหรับสร้างข้อความโซเชียลด้วย AI
Shopify ยังมีแอปที่ช่วยเชื่อมโยงการตลาดโซเชียลมีเดียกับร้านค้า เช่น
15. ทดสอบและติดตามผลลัพธ์
แนวโน้มของโซเชียลมีเดียเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งที่ได้ผลในวันนี้อาจใช้ไม่ได้ในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นควรทดสอบคอนเทนต์ในช่องทางและรูปแบบที่หลากหลายเพื่อดูว่าแบบไหนให้ผลลัพธ์ดีที่สุด แล้วนำไปพัฒนาต่อ
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่มีระบบวิเคราะห์ข้อมูลในตัว ซึ่งช่วยให้ติดตามประสิทธิภาพของโพสต์ เข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และหาช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการโพสต์ เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น ควรนำไปใช้ในการปรับกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เคล็ดลับและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับ Social Media Marketing
เมื่อนำแนวคิดข้างต้นไปใช้ ควรคำนึงถึงแนวทางที่ช่วยให้การตลาดบนโซเชียลมีเดียมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้แบรนด์สร้างตัวตนบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างแข็งแกร่ง
- พัฒนากลยุทธ์โซเชียลมีเดียที่เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์ม สิ่งที่ใช้ได้ผลบนแพลตฟอร์มหนึ่งอาจไม่ได้ผลบนอีกแพลตฟอร์ม ดังนั้นควรเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละช่องทางและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
- ใช้ปฏิทินโซเชียลมีเดีย การวางแผนล่วงหน้าช่วยให้ทีมงานหรือพาร์ทเนอร์สามารถติดตามงานและเตรียมคอนเทนต์สำหรับกิจกรรมสำคัญได้
- ทดลองใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลาย หากกลยุทธ์บน TikTok ไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดี อาจลองสำรวจแพลตฟอร์มอื่นเพื่อขยายการรับรู้แบรนด์ไปพร้อมกัน
- ติดตามเทรนด์โซเชียลมีเดีย แม้จะมีแผนการตลาดและปฏิทินคอนเทนต์ แต่ควรเปิดโอกาสให้มีความยืดหยุ่น เพื่อสามารถตอบสนองต่อเทรนด์และสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว
- ศึกษาคอร์สการตลาดโซเชียลมีเดีย หากเป็นมือใหม่ในการใช้โซเชียลมีเดียทำตลาด ปัจจุบันมีคอร์สออนไลน์ทั้งแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่ายที่ช่วยให้เข้าใจและพัฒนากลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น
วางแผนโซเชียลมีเดียให้เวิร์ก ดึงดูดลูกค้าได้จริง
การทำตลาดบนโซเชียลมีเดียให้ประสบความสำเร็จต้องเริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ที่ดี แบรนด์ที่ต้องการสร้างตัวตนบนแพลตฟอร์มต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับความเป็นตัวเอง ในขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกโพสต์
ดึงดูดผู้ใช้โซเชียลมีเดียด้วยคอนเทนต์ที่น่าสนใจ และใช้ข้อมูลจากเครื่องมือวิเคราะห์ภายในแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของพวกเขา ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และผลลัพธ์จากการทำตลาดบนโซเชียลมีเดียจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตลาดบนโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียมาร์เก็ตติ้งมีข้อดีอะไรบ้าง?
การตลาดบนโซเชียลมีเดียมีประโยชน์มากมายสำหรับแบรนด์ เช่น
- ประหยัดค่าใช้จ่าย
- เพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้ติดตามเป็นลูกค้า
- เพิ่มการรับรู้แบรนด์
- ดึงทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์มากขึ้น
- ยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า
- สร้างความภักดีต่อแบรนด์
- เพิ่มโอกาสในการสร้างลูกค้าใหม่
- เป็นแหล่งรวมคอนเทนต์ที่สร้างโดยผู้ใช้ (UGC)
ทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียให้ได้ผลต้องทำอย่างไร?
การเริ่มต้นที่ดีคือการวางกลยุทธ์โซเชียลมีเดีย โดยทำการวิจัยกลุ่มเป้าหมายและสร้างปฏิทินคอนเทนต์
กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการสร้างลูกค้าใหม่ เพิ่มการรับรู้แบรนด์ หรือดึงทราฟฟิก จากนั้นทดลองคอนเทนต์ในหลากหลายรูปแบบเพื่อดูว่าแบบไหนตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่สุด และอย่าลืมวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อปรับกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ
ความแตกต่างระหว่างโซเชียลมีเดียแบบเสียเงินกับแบบฟรีคืออะไร?
โซเชียลมีเดียแบบ Organic คือคอนเทนต์ที่โพสต์บนโปรไฟล์แบรนด์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และเข้าถึงผู้ติดตามผ่านการแชร์และอัลกอริทึมตามธรรมชาติ ส่วนโซเชียลมีเดียแบบ Paid คือโฆษณาหรือโพสต์ที่ได้รับการโปรโมตโดยแบรนด์จ่ายเงินเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดได้อย่างแม่นยำ
กลยุทธ์แบบ Organic ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงและความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว ส่วนแบบ Paid ช่วยเพิ่มการมองเห็นทันทีและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็วขึ้น โดยทั่วไป แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันเพื่อขยายการเข้าถึงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
แพลตฟอร์มไหนเหมาะกับการทำตลาดบนโซเชียลมีเดีย?
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมในการทำตลาดในสหรัฐฯ ได้แก่ TikTok, Facebook, Instagram, Pinterest, YouTube และ Snapchat หากต้องการทำตลาดในประเทศอื่น ควรศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่เพื่อเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่สุด