การเริ่มต้นธุรกิจ SME มาพร้อมกับความรับผิดชอบด้านบัญชีที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าการจัดการการเงินอาจไม่ใช่ส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดของการดำเนินธุรกิจ แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
การทำบัญชีที่ดีช่วยให้คุณติดตามรายรับและรายจ่ายของธุรกิจ คำนวณภาษีได้อย่างถูกต้อง และยื่นแบบภาษีได้ตรงเวลา นอกจากนี้ การเข้าใจสถานะการเงินของธุรกิจยังช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เพื่อเพิ่มผลกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คู่มือนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการบัญชีสำหรับ SME พร้อมแนะนำเครื่องมือบัญชีที่ดีที่สุด ที่ช่วยให้การจัดการการเงินเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
พร้อมเริ่มต้นธุรกิจหรือยัง? สร้างเว็บไซต์ของคุณวันนี้ หรือเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือของ Shopify ที่ช่วยให้คุณขายสินค้าได้ทั้งออนไลน์และหน้าร้าน
บัญชีสำหรับ SME คืออะไร?
การทำบัญชีสำหรับ SME คือกระบวนการติดตาม วัดผล และจัดการการเงินของธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการบันทึกรายการทางการเงิน การกระทบยอดบัญชีธนาคาร การจัดการเงินเดือนและสินค้าคงคลัง ตลอดจนการจัดการภาษีเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น
วิธีจัดการบัญชีสำหรับ SME ใน 13 ขั้นตอน
- เปิดบัญชีธุรกิจ SME
- สร้างคะแนนเครดิตธุรกิจ
- วางระบบบัญชีสำหรับธุรกิจให้เป็นระเบียบ
- บันทึกค่าใช้จ่ายของธุรกิจอย่างเป็นระบบ
- จัดระบบจ่ายเงินเดือนสำหรับธุรกิจ
- ศึกษาภาษีนำเข้า
- เลือกวิธีรับชำระเงินที่เหมาะกับธุรกิจ
- ตั้งค่าระบบภาษีการขายให้ถูกต้อง
- ทำความเข้าใจภาระภาษีที่ต้องจ่าย
- คำนวณอัตรากำไรขั้นต้น
- หาทุนสำหรับธุรกิจ
- หาผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีที่มีประสิทธิภาพ
- ทบทวนและปรับปรุงวิธีทำบัญชีเป็นประจำ
1. เปิดบัญชีธุรกิจ SME
การแยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัวช่วยปกป้องทรัพย์สินของคุณในกรณีที่ธุรกิจประสบปัญหาทางการเงิน ถูกฟ้องร้อง หรือถูกตรวจสอบทางบัญชี นอกจากนี้ การมีบันทึกทางการเงินที่ชัดเจนยังช่วยให้ขอสินเชื่อหรือดึงดูดนักลงทุนได้ง่ายขึ้น
เอกสารที่ใช้ในการเปิดบัญชีธุรกิจ
- ชื่อธุรกิจที่จดทะเบียน
- ใบจดทะเบียนธุรกิจ (หากกฎหมายกำหนด)
- ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
- เอกสารเพิ่มเติม (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของธนาคารที่เลือกใช้)
เริ่มต้นด้วยบัญชีเดินสะพัด และอาจเพิ่มบัญชีออมทรัพย์เพื่อช่วยบริหารกระแสเงินสดและวางแผนภาษี แนะนำให้กันเงินประมาณ 25% ของรายได้สำหรับภาษี หากเป็นธุรกิจที่มีรายได้สูงอาจต้องกันเงินมากกว่านี้ถึงหนึ่งในสามของรายได้
2. สร้างคะแนนเครดิตธุรกิจ
การมีบัตรเครดิตธุรกิจช่วยให้คุณสร้างประวัติสินเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญหากต้องการขอสินเชื่อหรือจัดหาเงินทุนในอนาคต หากธุรกิจของคุณเป็นบริษัทหรือจดทะเบียนเป็น LLC การใช้บัตรเครดิตแยกจากบัญชีส่วนตัวเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การเงินของธุรกิจเป็นระเบียบและถูกต้องตามกฎหมาย
เลือกบัตรเครดิตที่เหมาะกับรูปแบบการใช้จ่ายของธุรกิจ หากเดินทางบ่อย ควรเลือกบัตรที่ให้สิทธิพิเศษด้านการเดินทาง หรือหากมีค่าใช้จ่ายสูงในหมวดใดหมวดหนึ่ง บัตรเครดิตที่ให้เงินคืนตามหมวดหมู่ที่ใช้จ่ายมากที่สุด อย่างเช่น Shopify Credit อาจเป็นตัวเลือกที่ดี
3. วางระบบบัญชีสำหรับธุรกิจให้เป็นระเบียบ
การจัดการบัญชีสำหรับธุรกิจช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมของการเงินและวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสามารถทำได้สองวิธีหลักๆ
- จัดการเองโดยใช้ซอฟต์แวร์ เช่น QuickBooks, Wave หรือสเปรดชีต
- จ้างนักบัญชีหรือผู้ทำบัญชีแบบประจำหรือรายสัญญา
นอกจากนี้ ยังต้องเลือกระบบบันทึกบัญชีที่เหมาะกับธุรกิจ ซึ่งมี 2 แบบหลักๆ คือ
- บัญชีเงินสด: บันทึกรายรับและรายจ่ายเมื่อมีการจ่ายหรือรับเงินจริง
- บัญชีคงค้าง: บันทึกรายรับและรายจ่ายตั้งแต่เกิดรายการ แม้ว่ายังไม่มีการรับหรือจ่ายเงินจริง ซึ่งต้องมีการติดตามลูกหนี้และเจ้าหนี้
4. บันทึกค่าใช้จ่ายของธุรกิจอย่างเป็นระบบ
การบันทึกค่าใช้จ่ายช่วยให้คุณมองเห็นการเติบโตของธุรกิจ สร้างงบการเงิน ติดตามค่าใช้จ่ายที่สามารถหักภาษีได้ และเตรียมการยื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง แม้ว่าผู้ประกอบการในสหรัฐฯ จะไม่จำเป็นต้องเก็บใบเสร็จสำหรับค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า ประมาณ 2,700 บาท (75 ดอลลาร์) แต่การบันทึกทุกรายการใช้จ่ายช่วยให้คุณเข้าใจสถานะทางการเงินของธุรกิจได้ดีขึ้น
ควรเก็บบันทึกค่าใช้จ่ายสำคัญ 5 ประเภท ต่อไปนี้
- อาหารและความบันเทิง: หากพบปะทางธุรกิจที่ร้านอาหาร ให้จดชื่อผู้เข้าร่วมและวัตถุประสงค์ของการประชุมบนใบเสร็จ
- การเดินทางนอกพื้นที่: เก็บใบเสร็จเพื่อเป็นหลักฐานว่าการเดินทางนั้นเกี่ยวข้องกับธุรกิจ เนื่องจากหน่วยงานด้านภาษีมักตรวจสอบค่าใช้จ่ายประเภทนี้อย่างละเอียด
- การใช้รถเพื่อธุรกิจ: บันทึกวันที่และเหตุผลที่ใช้รถในการทำธุรกิจ หากเก็บบันทึกระยะทางอย่างละเอียด ค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันและระยะทางสามารถนำมาหักภาษีได้เต็มจำนวน
- ของขวัญทางธุรกิจ: หากให้บัตรเข้าชมงานหรือของขวัญ ควรระบุว่าคุณเข้าร่วมงานหรือไม่ เพราะจะส่งผลต่อการจัดประเภทค่าใช้จ่ายว่าควรเป็นของขวัญหรือความบันเทิง
- โฮมออฟฟิศ: หากเริ่มต้นธุรกิจจากที่บ้าน จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ และสามารถหักค่าใช้จ่ายตามสัดส่วนของพื้นที่ที่ใช้ทำธุรกิจ รวมถึงค่าอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ และค่าเดินทางที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจได้บางส่วน
5. จัดระบบจ่ายเงินเดือนสำหรับธุรกิจ
เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น อาจถึงเวลาที่ต้องจ้างพนักงานหรือผู้รับจ้างอิสระ ก่อนอื่นควรพิจารณาว่าต้องการจ้าง แบบประจำหรือไม่ เพราะแต่ละแบบมีข้อกำหนดทางบัญชีและภาษีที่แตกต่างกัน
หากจ้างพนักงานประจำ
- กำหนดรอบการจ่ายเงินเดือนให้ชัดเจน
- ตั้งค่าระบบหักภาษี ณ ที่จ่ายตามกฎหมาย
- พิจารณาใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบัญชีเงินเดือนที่ช่วยให้การบริหารจัดการเป็นระบบ (ซอฟต์แวร์บัญชีหลายตัวมีฟีเจอร์นี้ให้ใช้งาน)
หากจ้างผู้รับจ้างอิสระ
- ติดตามการจ่ายเงินให้เป็นระบบ
- เก็บข้อมูลติดต่อและรายละเอียดสำคัญที่ต้องใช้สำหรับการยื่นภาษี
การตั้งค่าระบบเงินเดือนที่ดีช่วยให้การจัดการการจ่ายเงินเป็นไปอย่างราบรื่น ป้องกันข้อผิดพลาดด้านบัญชี และทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมืออาชีพมากขึ้น
6. ศึกษาภาษีนำเข้าอย่างรอบคอบ
หากธุรกิจของคุณนำเข้าสินค้าหรือขายไปยังต่างประเทศ การทำความเข้าใจเรื่องภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมศุลกากร เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ใช้โมเดลดรอปชิป การคำนวณภาษีที่ถูกต้องจะช่วยลดความยุ่งยากและป้องกันค่าธรรมเนียมที่ไม่คาดคิด
คุณสามารถใช้ Shopify Markets เพื่อช่วยจัดการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมศุลกากรได้ ดังนี้
- ประเมินค่าธรรมเนียมนำเข้าสินค้า
- คำนวณอัตราภาษีศุลกากรในขั้นตอนการชำระเงิน
- จัดทำเอกสารที่จำเป็นสำหรับการนำเข้าสินค้า
- ช่วยให้ลูกค้าหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
7. เลือกวิธีรับชำระเงินที่เหมาะกับธุรกิจ
เมื่อเริ่มได้รับคำสั่งซื้อ ธุรกิจของคุณจำเป็นต้องมีระบบรับชำระเงินที่เชื่อถือได้ Shopify Payments ช่วยให้ร้านค้าในอเมริกาเหนือสามารถรับบัตรเครดิตและเดบิตได้โดยไม่ต้องตั้งค่าผู้ให้บริการชำระเงินแยกต่างหาก
หากเลือกใช้ผู้ให้บริการชำระเงินรายอื่น ควรเปรียบเทียบโครงสร้างค่าธรรมเนียม เช่น
- ค่าธรรมเนียมตามเปอร์เซ็นต์บวกค่าธรรมเนียมคงที่
- ค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมแบบคงที่
- ค่าบริการรายเดือนที่ให้ทำธุรกรรมได้ไม่จำกัด
Shopify Payments ช่วยให้คุณรับชำระเงินได้ทั้งออนไลน์และผ่าน Shopify POS สำหรับการขายหน้าร้าน รองรับการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (contactless payments) กระเป๋าเงินดิจิทัล และการผ่อนชำระปลอดดอกเบี้ยผ่าน Shop Pay พร้อมข้อมูลทุกอย่างที่ซิงก์อยู่ใน Shopify Admin ทำให้การจัดการบัญชีเป็นเรื่องง่าย
“Shop Pay Installments คิดเป็น 6.5% ของยอดขายรวมของเรา” Will Beck ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจจาก Pillow Cube กล่าว “เรายังเห็นมูลค่าคำสั่งซื้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย”
8. ตั้งค่าระบบภาษีการขายให้ถูกต้อง
กฎเกณฑ์เกี่ยวกับภาษีการขายจะแตกต่างกันระหว่างการขายออนไลน์และการขายหน้าร้าน หากเป็นร้านค้าที่มีหน้าร้านจริง อัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับที่ตั้งของร้านค้า แต่สำหรับร้านค้าออนไลน์ ต้องคำนึงถึงที่อยู่ของลูกค้าด้วย
9. รู้ภาระภาษีธุรกิจให้ชัดเจน
ภาระภาษีของธุรกิจขึ้นอยู่กับโครงสร้างธุรกิจของคุณ หากเป็นเจ้าของธุรกิจแบบ Sole Proprietorship, LLC หรือ Partnership คุณจะต้องยื่นรายได้ธุรกิจใน แบบฟอร์มภาษีส่วนบุคคล และยื่นภาษีประจำปี
สำหรับ ‘บริษัท’ จะต้องยื่นภาษีแยกต่างหากจากเจ้าของ เนื่องจากบริษัทถือเป็นนิติบุคคลทางภาษี คุณจะต้องจ่ายภาษีบริษัทภายในวันที่กำหนดหลังจากสิ้นสุดปีภาษี และรายงานรายได้ส่วนบุคคลจากบริษัทในฐานะพนักงาน
การทำงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีสามารถช่วยประหยัดเวลาและเงินในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับภาระภาษีของธุรกิจ
10. คำนวณอัตรากำไรขั้นต้น
อัตรากำไรขั้นต้นช่วยให้คุณรู้ว่าธุรกิจของคุณเหลือกำไรเท่าไรหลังจากหักต้นทุนการผลิตสินค้าหรือบริการ ตัวชี้วัดนี้สำคัญในการทำให้คุณเข้าใจว่าธุรกิจสามารถยืนหยัดได้หรือไม่
เพื่อหาค่าร้อยละของอัตรากำไรขั้นต้น ให้นำ รายได้ มาหักกับ ต้นทุนขายสินค้า (COGS) จากนั้นนำผลลัพธ์ไปหารด้วย รายได้ COGS ประกอบด้วยทั้ง ต้นทุนวัสดุ และ ค่าแรงโดยตรง
อัตรากำไรขั้นต้น (%) = (รายได้ - COGS) / รายได้
💡 เคล็ดลับ: ใช้เครื่องคำนวณอัตรากำไรฟรี เพื่อคำนวณตัวเลขเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว

11. หาทุนสำหรับธุรกิจ
การขยายธุรกิจมักต้องการทุนเพิ่มเติม คุณอาจต้องใช้เงินทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ซื้อสินค้าคงคลัง เปิดร้านค้าปลีก จ้างพนักงาน หรือจัดการการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและการลดลงของยอดขายที่ไม่คาดคิด
ผู้ให้กู้ส่วนใหญ่จะขอ งบการเงิน เช่น งบดุล, งบกำไรขาดทุน และบางครั้งรวมถึง งบกระแสเงินสด Shopify Capital เสนอตัวเลือกที่ง่ายกว่าให้กับพ่อค้า Shopify โดยการให้ทุนตามประวัติการขายของร้านค้า และการชำระคืนจะทำผ่านยอดขายในอนาคต
ก่อนที่จะขอสินเชื่อ คำนวณ ผลตอบแทนจากการลงทุน โดยการเปรียบเทียบ ค่าใช้จ่ายในการกู้เงินที่คาดการณ์ไว้ กับ รายได้ใหม่ที่คาดว่าจะได้รับ และ ค่าดอกเบี้ย คุณสามารถใช้เครื่องคำนวณสินเชื่อธุรกิจของเราเพื่อให้มั่นใจว่าเงินทุนที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาว
12. หาผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีที่มีประสิทธิภาพ
การมีผู้วางแผนการเงินที่มีความสามารถจะช่วยให้คุณจัดการการเงินได้ดีขึ้นและวางแผนเพื่อการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น
- นักบัญชีรับอนุญาต (CPA) เป็นสิ่งจำเป็นหากคุณต้องเผชิญกับการตรวจสอบภาษี เพราะพวกเขาคือผู้ที่มีคุณสมบัติตามกฎหมายในการจัดทำงบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบ
- นักทำบัญชี (Bookkeeper) จะดูแลบันทึกทางการเงินประจำวัน การกระทบยอดบัญชี การจัดประเภทค่าใช้จ่าย และการจัดการบัญชีลูกหนี้และเจ้าหนี้
- ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี มี 2 ประเภท ได้แก่ ผู้จัดเตรียมภาษีที่ช่วยยื่นภาษีและจัดการการชำระเงินล่วงหน้า และผู้วางแผนภาษีที่ช่วยลดภาระภาษีก่อนการยื่น
💡 เคล็ดลับ: Shopify Partners เชื่อมต่อคุณกับผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีการขาย เพื่อทำให้กระบวนการบัญชีของคุณง่ายขึ้น
13. ทบทวนและปรับปรุงวิธีทำบัญชีเป็นประจำ
คุณอาจเริ่มต้นด้วยการใช้สเปรดชีต เพื่อจัดการบัญชีของธุรกิจ แต่เมื่อธุรกิจเติบโต ความต้องการทางการเงินของคุณจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อธุรกิจขยายตัว ควรพิจารณาใช้เครื่องมือที่มีความสามารถสูงขึ้น เช่น QuickBooks หรือ Bench
ควรประเมินเวลาและค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปกับการทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ เครื่องมือที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คุณประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายได้
ซอฟต์แวร์ญชีที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
โปรแกรมบัญชีที่ดีช่วยให้คุณติดตามการเงินของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารแล้ว โปรแกรมจะจัดประเภทการทำธุรกรรมโดยอัตโนมัติและแสดงในแผนผังบัญชี คุณสามารถตรวจสอบยอดคงเหลือ เข้าใจรายได้และค่าใช้จ่าย ประมาณการกำไร และวางแผนภาษีได้
เมื่อเลือกโปรแกรมบัญชี สิ่งที่ควรคำนึงถึง ได้แก่
- การเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและเครื่องมือของบุคคลที่สาม
- รายงานที่ทันสมัย เกี่ยวกับสินค้าคงคลังและค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยติดตามสุขภาพทางการเงิน
- การตั้งค่าภาษีการขายเพื่อช่วยในการเก็บและจ่ายภาษี
- การสนับสนุนลูกค้าที่เชื่อถือได้ รวมถึงตัวเลือกการบริการตลอด 24 ชั่วโมงและแหล่งข้อมูลสำหรับบริการตนเอง
คุณจะพบตัวเลือกที่ใช้งานง่ายหลายตัวใน Shopify App Store ที่สามารถเชื่อมต่อได้อย่างราบรื่นกับร้านค้าของคุณ และรายการด้านล่างนี้ คือตัวเลือกที่ได้รับความนิยม
Xero
Xero เป็นระบบบัญชีแบบคลาวด์ที่ออกแบบมาสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจที่กำลังเติบโต คุณสามารถเชื่อมต่อกับที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้และเข้าถึงข้อมูลการเงินจากอุปกรณ์ใดก็ได้ ฟีเจอร์ขั้นสูงช่วยให้คุณติดตาม กระแสเงินสด การทำธุรกรรม และข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดี
- การจัดการสินค้าคงคลังและสต็อก
- ราคาไม่แพง
- เชื่อมต่อกับธนาคารหลัก
- รายงานที่ดูง่ายและปรับแต่งได้
- ฐานข้อมูลและการแบ่งกลุ่มผู้ติดต่อ
- เงินเดือน
- แอปมือถือ
- การปรับยอดบัญชีธนาคาร
QuickBooks Online
QuickBooks Online จาก Intuit ช่วยให้คุณติดตามรายได้และค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งจัดการใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ โปรแกรมนี้จะแสดง ต้นทุน ของธุรกิจทั้งหมด เช่น สินค้าคงคลังและการบำรุงรักษา พร้อมกับยอดขายของคุณตลอดเวลา ซอฟต์แวร์จะอัปเดตยอดขายและต้นทุนสินค้าคงคลัง โดยอัตโนมัติด้วยการติดตามสินค้าคงคลังแบบต่อเนื่อง และสามารถเชื่อมต่อกับ Shopify เพื่อจัดระเบียบข้อมูลของคุณ
ข้อดี
- แอปมือถือ
- บนระบบคลาวด์
- การติดตามระยะทาง
- การจัดการผู้รับจ้าง
- การติดตามสินค้าคงคลัง
- การแยกค่าใช้จ่ายระหว่างธุรกิจและส่วนตัว
- เชื่อมต่อกับ Shopify
Wave
Wave เป็นระบบบัญชีแบบเว็บที่ออกแบบมาสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เชื่อมต่อบัญชีธนาคาร บัญชี PayPal และแหล่งข้อมูลอื่นๆ เพื่อดูธุรกรรมแบบเรียลไทม์ แพลตฟอร์มนี้สามารถสร้างรายงานสำคัญๆ เช่น บัญชีลูกหนี้, งบดุล, งบกำไรขาดทุน และรายงานภาษีการขาย
ข้อดี
- ราคาย่อมเยา
- ค่าธรรมเนียมการประมวลผลบัตรเครดิตที่เหมาะสม
- บัญชีและสแกนใบเสร็จฟรี
- ไม่มีข้อจำกัดในการทำธุรกรรมหรือการเรียกเก็บเงิน
- จำนวนผู้ใช้ไม่จำกัด
- มีแอปมือถือ
FreshBooks
FreshBooks เป็นซอฟต์แวร์การบัญชีและการจัดการใบแจ้งหนี้บนคลาวด์ที่ช่วยจัดการค่าใช้จ่าย การบัญชีพื้นฐาน และการทำบัญชีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
ข้อดี
- ใช้งานง่าย
- ราคาที่เรียบง่าย
- สามารถปรับแต่งใบแจ้งหนี้ได้
- การสนับสนุนบริการตนเองที่ละเอียด
- เชื่อมต่อกับ Shopify
ทำความเข้าใจตัวเลข เพื่อความมั่นคงในการขยายธุรกิจ
การควบคุมการเงินของธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ การตัดสินใจด้านการเงินแต่ละอย่าง เช่น การเลือกบัตรเครดิตธุรกิจที่เหมาะสม หรือการคำนวณรายได้จากแต่ละผลิตภัณฑ์ ล้วนมีผลต่ออนาคตของธุรกิจ การใช้เวลาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการธนาคาร การจัดการธุรกรรม และการระดมทุน จะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในอนาคต
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบัญชีสำหรับ SME
บัญชีสำหรับ SME มีวิธีทำยังไง?
แม้ว่าคุณจะใช้สเปรดชีตในการติดตามบัญชีได้ แต่การใช้ซอฟต์แวร์บัญชีสำหรับ SME จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น ควรเริ่มต้นด้วยการติดตามค่าใช้จ่ายและรายได้ บนแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ปลอดภัย เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดจากการทำบัญชีด้วยมือและประหยัดเวลา
ค่าจ้างนักบัญชีสำหรับ SME ประมาณเท่าไหร่?
นักบัญชีประจำทำงานในธุรกิจขนาดใหญ่ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 70,000 ดอลลาร์ ต่อปี หรือประมาณ 2.3 ล้านบาท (ข้อมูลจาก Bureau of Labor Statistics) สำหรับบริการบัญชีภายนอกจะมีราคาตั้งแต่ หลายร้อยถึงหลายพันดอลลาร์ต่อเดือน หรือประมาณ 20,000 - 200,000 บาทต่อเดือนขึ้นอยู่กับขนาดและความต้องการของธุรกิจ
วิธีบัญชีแบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับ SME?
บัญชีแบบเงินสด หรือ Cash Basis Accounting เป็นวิธีที่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่ เนื่องจากจะบันทึกรายการทางการเงินเมื่อเงินเข้าหรือออกจากบัญชีของธุรกิจ ซึ่งช่วยให้การเก็บบันทึกง่ายและเข้าใจได้เร็ว
ในธุรกิจ SME นักบัญชีต้องทำอะไรบ้าง?
นักบัญชีจะจัดการงานต่างๆ เช่น การกระทบยอดบัญชี การบันทึกรายการธุรกรรม การจัดการบัญชีลูกหนี้และเจ้าหนี้ และการจัดทำงบการเงิน พวกเขายังช่วยดูแล เงินเดือน และ การออกใบแจ้งหนี้ ทำให้ธุรกิจปฏิบัติตามกฎระเบียบทางการเงิน
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำบัญชี SME มีอะไรบ้าง?
การไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งในรูปแบบของซอฟต์แวร์บัญชี หรือที่ปรึกษาทางการเงิน ข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อย เช่น การเก็บบันทึกไม่ดี (รวมถึงใบเสร็จ), การพลาดกำหนดเวลาภาษี หรือการผสมการเงินส่วนตัวกับการเงินธุรกิจ