การทำบัญชีอาจเป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อน โดยเฉพาะสำหรับเจ้าของธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น โชคดีที่มี โปรแกรมบัญชี หลากหลายที่ช่วยให้การติดตามค่าใช้จ่าย การจ่ายเงินเดือน และการเตรียมภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้นและแม่นยำยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีที่ดีช่วยให้วิเคราะห์กระแสเงินสดได้สะดวกขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพทางการเงินของธุรกิจออนไลน์โดยรวม
เทคโนโลยี AI ยังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้การทำบัญชีของธุรกิจขนาดเล็กเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย “จากมุมมองด้านบัญชี ผมคิดว่าการทำบัญชีเริ่มง่ายขึ้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก” Marc Van den Dobbelsteen ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีของ Shopify กล่าว “ตอนนี้หลายระบบถูกพัฒนาให้มีความสามารถด้าน AI หรือระบบอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาในการทำงานด้านบัญชีได้มาก”
เรารวบรวม 7 โปรแกรมบัญชี ที่น่าสนใจเพื่อช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถเลือกซอฟต์แวร์ที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้ดีที่สุด
7 โปรแกรมบัญชีสำหรับร้านออนไลน์ที่ดีที่สุด
ด้านล่างนี้คือ 7 โปรแกรมบัญชี ที่ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจเดี่ยวที่เพิ่งเริ่มต้น หรือกำลังขยายร้านค้าออนไลน์ ซอฟต์แวร์บัญชีที่เหมาะกับความต้องการของธุรกิจมีให้เลือกใช้แน่นอน
1. QuickBooks Online

QuickBooks เป็นหนึ่งในโปรแกรมบัญชีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีธุรกิจกว่า 1.4 ล้านแห่ง ใช้งาน ปัจจุบัน QuickBooks มีเวอร์ชันออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ พร้อมฟีเจอร์ AI เช่น ระบบแจ้งเตือนการชำระเงินอัตโนมัติ การออกใบแจ้งหนี้แบบปรับแต่งได้ และระบบบันทึกค่าใช้จ่ายอัตโนมัติ เพียงส่งรูปถ่ายหรืออีเมลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย AI จะช่วยบันทึกลงในบัญชีให้ทันที
QuickBooks เวอร์ชันคลาวด์ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์ที่จำเป็นสำหรับเจ้าของธุรกิจ เช่น การดูภาพรวมกระแสเงินสด การสร้างใบแจ้งหนี้ และระบบบัญชีอัตโนมัติ โดยเริ่มต้นที่ 1,250 บาท/เดือน นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อร้านออนไลน์เข้ากับซอฟต์แวร์อื่นๆ ได้หลายร้อยตัว รวมถึงการเชื่อมต่อกับ Shopify เพื่อดึงข้อมูลคำสั่งซื้อและการจ่ายเงินเข้าบัญชี QuickBooks โดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม หากต้องการใช้งานฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การทำธุรกรรมหลายสกุลเงิน หรือการบันทึกชั่วโมงทำงานแบบเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้ อาจต้องเลือกแพ็กเกจที่สูงขึ้น ส่วนฟีเจอร์จัดการสต๊อกสินค้าจะมีให้เฉพาะในแพ็กเกจ Plus และ Advanced เท่านั้น
ราคา
- 1,250 บาท/เดือน – Simple Start (บันทึกบัญชีอัตโนมัติ, รายงานพื้นฐาน, คำนวณภาษีขายอัตโนมัติ)
- 2,300 บาท/เดือน – Essentials (รองรับหลายสกุลเงิน, เชื่อมต่อช่องทางขายได้ 3 ช่องทาง, รายงานเชิงลึก)
- 3,500 บาท/เดือน – Plus (ฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น คาดการณ์กำไร, วางแผนการเงิน, ระบบติดตามสต๊อกสินค้า)
- 8,300 บาท/เดือน – Advanced (เครื่องมือระดับสูงสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ รองรับ 25 ผู้ใช้, ระบบทำงานอัตโนมัติ, รายงานปรับแต่งไม่จำกัด)
2. Wave

เมื่อต้องเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ ทุกบาททุกสตางค์มีความสำคัญ หากยังไม่พร้อมจ่ายค่าซอฟต์แวร์บัญชีแพงๆ Wave เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะมีแพ็กเกจฟรีที่ให้ฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก สามารถสร้างใบแจ้งหนี้และบันทึกบัญชีได้ไม่จำกัด รวมถึงรับชำระเงินออนไลน์และส่งใบแจ้งหนี้ได้
หากต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติม สามารถเลือก Wave Pro Plan ในราคา 570 บาท/เดือน ซึ่งช่วยประหยัดเวลาได้มากขึ้นผ่านระบบอัตโนมัติ เช่น การดึงข้อมูลธุรกรรมจากบัญชีธนาคารอัตโนมัติ การรวมและจัดหมวดหมู่ธุรกรรม และการแจ้งเตือนชำระเงินล่าช้า รวมถึงการบันทึกใบเสร็จแบบดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม ทั้งเวอร์ชันฟรีและเวอร์ชันเสียเงินของ Wave ยังไม่รองรับการเชื่อมต่อกับ Shopify
ราคา
- ฟรี – Basic (สร้างใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ และบันทึกบัญชีได้ไม่จำกัด)
- 570 บาท/เดือน – Pro (ดึงธุรกรรมจากบัญชีธนาคารอัตโนมัติ แจ้งเตือนชำระเงินล่าช้า เก็บใบเสร็จแบบดิจิทัล และฟีเจอร์อื่นๆ)
3. Zoho Books

Zoho Books มีเวอร์ชันฟรีสำหรับธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 1,750,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับเจ้าของร้านค้าออนไลน์ที่เพิ่งเริ่มต้นและมีงบประมาณจำกัด นอกจากความคุ้มค่าแล้ว Zoho Books ยังเป็นที่รู้จักในด้านแอปบัญชีบนมือถือ ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถจัดการบัญชีได้สะดวกแม้ไม่ได้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์
Zoho Books รองรับการเชื่อมต่อกับระบบชำระเงินออนไลน์หลายแห่ง เช่น PayPal และ Stripe นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ติดตามสต๊อกสินค้า และเครื่องมือบัญชีมาตรฐาน เช่น การออกใบแจ้งหนี้ การติดตามและจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังช่วยลดเวลาในการทำบัญชีด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น การส่งอีเมลแจ้งเตือนและการกรอกข้อมูลในฟอร์มโดยอัตโนมัติ
Zoho Books มีการเชื่อมต่อกับ Shopify ผ่านผลิตภัณฑ์ Flow แต่ต้องจ่ายเพิ่ม 875 บาท/เดือน หรือ 1,435 บาท/เดือน เพื่อใช้งาน
ราคา
- ฟรี – สำหรับธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่า 1,750,000 บาท/ปี (เครื่องมือบัญชีพื้นฐาน)
- 700 บาท/เดือน – Standard (เครื่องมือเพิ่มเติม เช่น รายงานการเงินแบบกำหนดเอง การเชื่อมต่อบัญชีธนาคาร และการคำนวณภาษีขาย)
- 1,750 บาท/เดือน – Professional (รองรับหลายสกุลเงิน การบันทึกเวลาทำงานสำหรับเรียกเก็บเงิน และระบบติดตามสต๊อกสินค้า)
- 2,450 บาท/เดือน – Premium (เครื่องมือบัญชีระดับสูง เช่น การจัดการงบประมาณ การพยากรณ์กระแสเงินสด และการออกแบบฟังก์ชันบัญชีแบบกำหนดเอง)
4. FreshBooks

FreshBooks เป็นโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับการใช้งานที่ง่าย ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยแพ็กเกจ Lite เริ่มต้นเพียง 665 บาท/เดือน และมีฟีเจอร์พื้นฐานที่จำเป็น เช่น การออกใบแจ้งหนี้ และการติดตามรายรับรายจ่าย อย่างไรก็ตาม แพ็กเกจเริ่มต้นนี้จำกัดจำนวนลูกค้าที่สามารถเรียกเก็บเงินได้สูงสุด 5 ราย และหากต้องการเพิ่มผู้ร่วมงาน ต้องจ่ายเพิ่ม 385 บาท/คน
แพ็กเกจ Plus และ Premium (ราคา 1,155 บาท/เดือน และ 2,100 บาท/เดือน) มีระบบอัตโนมัติที่มากขึ้น เช่น การส่งอีเมลแจ้งเตือนชำระเงินล่าช้า การยืนยันการชำระเงิน และการคาดการณ์กำไร ส่วนแพ็กเกจ Select (ราคาขึ้นอยู่กับการตกลง) มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น ค่าธรรมเนียมธุรกรรมบัตรเครดิตที่ถูกลง และสามารถสร้างบัญชีผู้ใช้ได้ 2 บัญชีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม FreshBooks มีระบบจัดการสต๊อกที่ค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับโปรแกรมบัญชีสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซอื่นๆ ทำให้เหมาะกับธุรกิจที่ให้บริการมากกว่าธุรกิจขายสินค้าออนไลน์
ราคา
- 665 บาท/เดือน – Lite (ส่งใบแจ้งหนี้ได้ไม่จำกัดแต่จำกัดลูกค้า 5 ราย และมีฟีเจอร์ติดตามรายรับรายจ่าย)
- 1,155 บาท/เดือน – Plus (ส่งใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าได้สูงสุด 50 ราย และมีระบบอัตโนมัติ เช่น บันทึกใบเสร็จ)
- 2,100 บาท/เดือน – Premium (ส่งใบแจ้งหนี้ได้ไม่จำกัดลูกค้า พร้อมฟีเจอร์ปรับแต่งและระบบอัตโนมัติขั้นสูง)
- ราคาตามตกลง – Select (ค่าธรรมเนียมธุรกรรมถูกลง, การตั้งค่าบิลอัตโนมัติ, บัญชีผู้ใช้ 2 บัญชีฟรี และการเข้าถึงบริการลูกค้าระดับพิเศษ)
5. Sage 50

Sage 50 เป็นโปรแกรมบัญชีขั้นสูงที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ครอบคลุมมากขึ้น แต่ก็มีราคาสูงกว่าซอฟต์แวร์บัญชีอื่นๆ โดยแพ็กเกจเริ่มต้นอยู่ที่ 21,900 บาท/ปี (ประมาณ 1,825 บาท/เดือน) ซึ่งทำให้เหมาะกับธุรกิจที่มีความซับซ้อนและต้องการเครื่องมือที่หลากหลาย
ฟีเจอร์เด่นของ Sage 50 ได้แก่ เครื่องมือพยากรณ์ทางการเงิน ที่ช่วยให้คำนวณสถานการณ์สมมติ (What-if Scenarios) เพื่อวางแผนธุรกิจ ระบบคำนวณต้นทุนโครงการ เพื่อดูว่าแต่ละโปรเจ็กต์มีต้นทุนเท่าไรและทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึง ฟีเจอร์จัดการสต๊อกสินค้า ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจตรวจสอบสินค้าคงคลังและรายการสั่งซื้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี AI ที่ช่วยตรวจจับข้อผิดพลาดในบัญชีแยกประเภทและลดเวลาที่ต้องใช้ในการบันทึกข้อมูลบัญชีแบบแมนนวล
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์บางอย่างอาจไม่มีในแพ็กเกจเริ่มต้น อีกทั้ง Sage 50 ยังไม่มีการเชื่อมต่อกับ Shopify และเป็นซอฟต์แวร์ที่ต้องติดตั้งบนเดสก์ท็อป แต่สามารถสำรองข้อมูลทางการเงินบนคลาวด์ผ่าน Microsoft 365 ได้
ราคา
- 21,900 บาท/ปี – Pro (รองรับผู้ใช้ 1 คน พร้อมฟีเจอร์กระทบยอดบัญชีธนาคารอัตโนมัติ ติดตามใบแจ้งหนี้และค่าใช้จ่าย และคำนวณต้นทุนโครงการ)
- 36,600 บาท/ปี – Premium Accounting (รองรับ 1-5 ผู้ใช้ พร้อมฟีเจอร์เฉพาะอุตสาหกรรม และรองรับการทำงานหลายบริษัท)
- 62,400 บาท/ปี – Quantum Accounting (รองรับ 1-40 ผู้ใช้ พร้อมเครื่องมือจัดการเวิร์กโฟลว์และกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้แต่ละคน)
6. Xero

Xero เป็นโปรแกรมบัญชีที่ออกแบบมาสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพ โดยมีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ เช่น การเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญช่วยเริ่มต้นใช้งานในช่วง 90 วันแรก และอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านบัญชี นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อกับ Shopify ได้อย่างราบรื่น
ทุกแพ็กเกจมาพร้อมกับฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การจัดการเอกสาร W-9 และ 1099 การวิเคราะห์กระแสเงินสดระยะสั้น และภาพรวมธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์สำคัญ เช่น การติดตามค่าใช้จ่ายแบบกลุ่ม จะมีเฉพาะในแพ็กเกจระดับสูงขึ้น (เริ่มต้นที่ 1,470 บาท/เดือน)
ราคา
- 525 บาท/เดือน – Early (จำกัด 5 บิล, 20 ใบแจ้งหนี้ และฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น กระทบยอดธุรกรรมธนาคาร)
- 1,470 บาท/เดือน – Growing (สร้างบิลและใบแจ้งหนี้ได้ไม่จำกัด และรองรับการกระทบยอดธุรกรรมเป็นกลุ่ม)
- 2,730 บาท/เดือน – Established (รองรับหลายสกุลเงิน การติดตามโปรเจ็กต์ และการเรียกร้องค่าใช้จ่าย)
7. A2X

A2X ไม่ใช่โปรแกรมบัญชีเต็มรูปแบบ แต่เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ช่วยให้การจัดการบัญชีร้านค้าออนไลน์เป็นเรื่องง่ายขึ้น A2X รองรับการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลัก เช่น Shopify, Etsy, Amazon และ eBay รวมถึงสามารถซิงค์กับโปรแกรมบัญชีอย่าง Xero, QuickBooks Online และ Sage ได้
A2X ช่วยให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจัดการรายละเอียดทางบัญชีที่ซับซ้อน เช่น อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), ภาษีขาย, ค่าจัดส่ง และรายการหักอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าออนไลน์
ราคา
- สำหรับการเชื่อมต่อกับ Shopify, Etsy, Amazon และ eBay: 1,015 บาท/เดือน (รองรับ 200 ออเดอร์) ถึง 4,020 บาท/เดือน (รองรับ 5,000 ออเดอร์)
- สำหรับการเชื่อมต่อกับ Walmart: 2,755 บาท/เดือน (รองรับ 2,000 ออเดอร์) ถึง 7,985 บาท/เดือน (รองรับ 15,000 ออเดอร์)
วิธีเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณ
- กำหนดความต้องการด้านบัญชีในปัจจุบันและอนาคต
- พิจารณางบประมาณเทียบกับการเติบโตที่คาดการณ์ไว้
- ตรวจสอบการรองรับการเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์อื่นๆ
การเลือกโปรแกรมบัญชีสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา คุณต้องการระบบบัญชีแบบคลาวด์ที่ช่วยให้การทำบัญชีเป็นเรื่องง่าย เช่น การบันทึกใบเสร็จโดยอัตโนมัติ หรือกำลังมองหาโปรแกรมบัญชีที่ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งสามารถสร้างรายงานวิเคราะห์ผลการดำเนินงานธุรกิจ จัดการสต๊อกสินค้า และคาดการณ์กำไรขาดทุนของธุรกิจได้?
แนวทางต่อไปนี้จะช่วยให้คุณเลือกโปรแกรมบัญชีที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
กำหนดความต้องการด้านบัญชีในปัจจุบันและอนาคต
การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจ ลองดูประเด็นต่อไปนี้เพื่อประเมินว่าอะไรสำคัญและจำเป็นสำหรับคุณ
- คุณจะเป็นผู้ใช้งานหลักเพียงคนเดียว หรือจำเป็นต้องเพิ่มผู้ร่วมงาน? คุณทำงานร่วมกับนักบัญชีที่อาจมีความต้องการเฉพาะเกี่ยวกับซอฟต์แวร์หรือไม่?
- แต่ละเดือนคุณมีค่าใช้จ่ายมากแค่ไหน? ต้องจัดการใบเสร็จเป็นจำนวนมากหรือไม่?
- คุณต้องออกใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าเป็นประจำหรือไม่? โดยเฉลี่ยต้องสร้างและส่งใบแจ้งหนี้กี่ฉบับต่อเดือน?
- คุณมีพื้นฐานด้านบัญชีมากน้อยแค่ไหน? ต้องการซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่าย หรือสามารถจัดการระบบที่ซับซ้อนได้?
- งานบัญชีใดที่คุณใช้เวลาทำมากที่สุด หรือคาดว่าจะต้องใช้เวลาทำในอนาคต? มีส่วนไหนที่ระบบอัตโนมัติช่วยลดภาระงานได้หรือไม่?
- ต้องการเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์อื่นๆ หรือไม่ เช่น Shopify?
- ต้องการฟังก์ชันเพิ่มเติม เช่น การจัดการสต๊อกสินค้า ระบบติดตามเวลาทำงานของพนักงาน หรือการพยากรณ์ทางการเงินหรือไม่?
การตอบคำถามเหล่านี้ช่วยให้คุณเลือกโปรแกรมบัญชีที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจได้ง่ายขึ้น
เปรียบเทียบงบประมาณปัจจุบันกับการเติบโตของธุรกิจ
ทุกบาททุกสตางค์มีความหมายเมื่อต้องเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อาจยังไม่พร้อมจ่ายค่าซอฟต์แวร์บัญชีปีละหลายพันหรือหลายหมื่นบาท แต่สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าโปรแกรมบัญชีที่เลือกสามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจได้หรือไม่
ลองคิดถึงเป้าหมายของธุรกิจว่าจะขยายมากแค่ไหน และเร็วเพียงใด จากนั้นดูว่าโปรแกรมที่เลือกมีตัวเลือกอัปเกรดที่ช่วยรองรับการเติบโตหรือไม่ หากไม่มี อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์อื่นในอนาคต ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและต้องเรียนรู้ระบบใหม่ทั้งหมด
ตรวจสอบการเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์อื่นๆ
หากคุณใช้ Shopify สามารถเชื่อมต่อร้านค้ากับโปรแกรมบัญชี เช่น QuickBooks, Zoho Books หรือ Xero ได้ การเชื่อมต่อโดยตรงกับ โปรแกรมบัญชี ทำให้ไม่ต้องกรอกข้อมูลทางการเงินเอง ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดและทำให้การจัดการบัญชีง่ายขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมบัญชี
โปรแกรมบัญชีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคืออะไร?
QuickBooks เป็นหนึ่งในโปรแกรมบัญชีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในหมู่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและนักบัญชีที่ให้การสนับสนุนธุรกิจเหล่านั้น ด้วยประสบการณ์ในตลาดมานานหลายทศวรรษ ทำให้ QuickBooks เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผู้รีวิวซอฟต์แวร์บัญชีรายใหญ่
ทำไม QuickBooks ถึงเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก?
QuickBooks ถือเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมของซอฟต์แวร์บัญชีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ใช้งานค่อนข้างง่ายและมีฟังก์ชันบัญชีที่จำเป็น เช่น การติดตามค่าใช้จ่าย การสร้างรายงานทางการเงิน และการออกใบแจ้งหนี้
โปรแกรมบัญชีไหนมีราคาถูกที่สุด?
Wave และ Zoho Books มีเวอร์ชันฟรีสำหรับธุรกิจที่ต้องการตัวเลือกไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ Xero และ FreshBooks ยังมีแพ็กเกจเริ่มต้นในราคา 525 บาท/เดือน และ 665 บาท/เดือน ตามลำดับ