ผู้สร้างวิดีโอจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นยูทูบเบอร์มืออาชีพหรือแบรนด์ที่ใช้ YouTube มองว่าอัลกอริทึมของ YouTube เป็นเรื่องลึกลับ ราวกับเป็นพลังที่ควบคุมยอดวิวของพวกเขาโดยสิ้นเชิง และอยู่นอกเหนือการควบคุม
การเพิ่มยอดวิวบน YouTube มักจะเน้นไปที่ YouTube SEO, การโปรโมตผ่านโซเชียลมีเดีย, และการเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้วิดีโอของคุณถูกค้นพบได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่กุญแจหลักในการดึงยอดวิวจากระบบแนะนำของ YouTube ซึ่งเป็นแหล่งทราฟฟิกสำคัญจากหน้าแรกและหมวด "แนะนำสำหรับคุณ"
หากต้องการเพิ่มโอกาสให้วิดีโอของคุณถูกค้นพบมากขึ้น คุณต้องเข้าใจว่าอัลกอริทึมของ YouTube ทำงานแบบไหน พร้อมเรียนรู้เทคนิคที่ช่วยให้คุณใช้มันให้เป็นประโยชน์
ทุกอย่างที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับอัลกอริทึมของ YouTube เพื่อให้วิดีโอของคุณติดเทรนด์
อัลกอริทึมของ YouTube คืออะไร?
อัลกอริทึมของ YouTube เป็นชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ที่ใช้ประมวลผลวิดีโอและเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เช่น คอมเมนต์ คำอธิบาย การมีส่วนร่วม ฯลฯ เพื่อจัดอันดับและแนะนำวิดีโอตามความเกี่ยวข้องและความพึงพอใจของผู้ชม
อัลกอริทึมของ YouTube ในปี 2025 มีลักษณะอย่างไร?
อัลกอริทึมของ YouTube ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้ง่ายที่สุด เป้าหมายหลักของแพลตฟอร์มคือการเพิ่มอัตราการรักษาผู้ใช้และทำให้พวกเขาใช้เวลาดูวิดีโอได้นานที่สุด
ตั้งแต่ปี 2015 YouTube ได้ปรับปรุงระบบเพื่อเน้นที่ "ความพึงพอใจของผู้ชม" โดยใช้แบบสำรวจความคิดเห็นจากผู้ใช้จริงระหว่างที่พวกเขารับชมวิดีโอ ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถแนะนำเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ชมมากที่สุด
แต่ YouTube วัดระดับความพึงพอใจของผู้ใช้ได้อย่างไร?
- ส่งแบบสำรวจความคิดเห็นนับล้านรายการทุกเดือน (แม้ว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเห็นเพียง 2-3 ครั้ง) เพื่อขอความคิดเห็นเกี่ยวกับวิดีโอ
- ติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การกด "ไม่สนใจ" บนวิดีโอ
- วิเคราะห์การกดไลก์, ดิสไลก์ และการแชร์วิดีโอ
อัลกอริทึมของ YouTube มีรายละเอียดเพิ่มเติมในงานวิจัยที่เผยแพร่โดยวิศวกรของ Google ได้แก่ Paul Covington, Jay Adams และ Emre Sargin ซึ่งอธิบายถึงปัจจัยเพิ่มเติมที่ YouTube ใช้ในการจัดอันดับวิดีโอสำหรับการแนะนำ
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการแนะนำวิดีโอ ได้แก่
- อัตราการคลิก (Click-through rate - CTR): โอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกวิดีโอหลังจากเห็นบนแพลตฟอร์ม
- ระยะเวลาการรับชม (Watch time): เวลาที่ผู้ชมใช้ดูวิดีโอรวมกัน
- จำนวนวิดีโอที่ผู้ใช้เคยดูจากช่องของคุณ
- ระยะเวลาตั้งแต่ผู้ใช้ดูวิดีโอเกี่ยวกับหัวข้อเดียวกันล่าสุด
- คีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้เคยค้นหา
- ประวัติการรับชมของผู้ใช้
- ข้อมูลประชากรและตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้
จากปัจจัยทั้งหมด มีเพียงสามอย่างที่เจ้าของช่องสามารถควบคุมได้โดยตรง ได้แก่ CTR, watch time และจำนวนวิดีโอที่ผู้ใช้ดูจากช่องของคุณ ส่วนปัจจัยที่เหลือขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ใช้และข้อมูลส่วนบุคคลที่ YouTube ใช้ในการปรับแต่งคำแนะนำ
วิศวกรของ Google ยังระบุว่า "เป้าหมายสุดท้ายของระบบจัดอันดับคือการคาดการณ์ระยะเวลาการรับชมต่อการแสดงผล" เนื่องจากหากจัดอันดับวิดีโอโดยพิจารณาแค่ CTR อย่างเดียว อาจส่งผลให้มีวิดีโอประเภท "คลิกเบต" (Clickbait) ซึ่งผู้ใช้ไม่ได้ดูจนจบ ในขณะที่ Watch Time เป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมได้ดีกว่า
พื้นที่หลักที่ผู้ใช้ YouTube เห็นวิดีโอแนะนำมี 2 ส่วน ได้แก่ หน้าแรกและขณะรับชมวิดีโออื่น โดยอัลกอริทึมจะทำงานแตกต่างกันไปในแต่ละส่วน
หน้าแรกของ YouTube
เมื่อคุณเข้าเว็บไซต์ YouTube หรือเปิดแอปบนมือถือ หน้าแรกจะเป็นสิ่งแรกที่คุณเห็น ที่นี่ YouTube พยายามนำเสนอวิดีโอที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมกับแต่ละคนมากที่สุด เพื่อดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้ใช้ใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มให้นานที่สุด
วิดีโอที่ปรากฏบนหน้าแรกของ YouTube ถูกเลือกตาม 2 ปัจจัยหลัก
- ประสิทธิภาพของวิดีโอ: ระบบจะพิจารณาว่าผู้ชมที่มีพฤติกรรมคล้ายกันเพลิดเพลินกับวิดีโอมากแค่ไหน
- การปรับแต่งตามผู้ใช้: ระบบจะแนะนำวิดีโอตามพฤติกรรมการรับชมและประวัติการดูของแต่ละคน
เนื่องจาก YouTube ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเจตนาของผู้ใช้ในขณะที่เข้าสู่แพลตฟอร์ม ระบบจึงต้องอาศัยข้อมูลจากพฤติกรรมการรับชมในอดีตเพื่อคาดเดาความสนใจและแนะนำวิดีโอที่เหมาะสมที่สุด
วิดีโอแนะนำ
ส่วนของวิดีโอแนะนำจะปรากฏที่แถบด้านขวาของหน้าจอเมื่อคุณดูวิดีโอบนเดสก์ท็อป หรืออยู่ด้านล่างวิดีโอบนแอปมือถือ
อัลกอริทึมของ YouTube เลือกวิดีโอแนะนำอย่างไร?
วิดีโอแนะนำถูกเลือกโดยอิงจากประวัติการรับชมของคุณในช่วงเวลานั้น และระบบจะคาดการณ์ว่าวิดีโอไหนที่คุณน่าจะดูต่อไป โดยพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้
- วิดีโอที่มักถูกดูต่อเนื่องกัน
- วิดีโอที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน
- วิดีโอที่คุณเคยดูมาก่อน
เนื่องจาก YouTube เริ่มเข้าใจเจตนาของคุณมากขึ้นในระหว่างเซสชัน ระบบจึงสามารถแนะนำวิดีโอที่ตรงกับสิ่งที่คุณกำลังสนใจในขณะนั้น แทนที่จะเป็นการแนะนำแบบทั่วไป
วิดีโอยอดนิยม (Trending Video)
อัลกอริทึมวิดีโอยอดนิยมของ YouTube คัดเลือกคอนเทนต์ที่กำลังได้รับความสนใจในแต่ละประเทศ และอัปเดตทุก 15 นาที เพื่อให้รายการยังคงทันสมัย
อย่างไรก็ตาม วิดีโอที่มียอดวิวสูงสุดอาจไม่ได้อยู่ในอันดับหนึ่งเสมอไป เพราะระบบให้ความสำคัญกับ ความเกี่ยวข้องและการกระจายโอกาสให้กับคอนเทนต์ที่หลากหลาย ทั่วทั้งแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ YouTube ยังใช้ ตัวกรองเนื้อหาอย่างเข้มงวด เพื่อให้วิดีโอในหมวด Trending เป็นคอนเทนต์ที่เหมาะกับผู้ชมทุกวัย
9 เคล็ดลับเพิ่มการเข้าถึงบน YouTube
- สร้างวิดีโอที่มีแนวทางหรือรูปแบบที่สม่ำเสมอ
- กระตุ้นระบบแนะนำด้วยแหล่งทราฟฟิกจากช่องทางอื่น
- ออกแบบภาพหน้าปก (Thumbnail) ที่ดึงดูดให้คนคลิก
- ดึงดูดให้ผู้ชมอยู่ดูวิดีโอนานขึ้นหลังจากคลิกเข้ามา
- กระตุ้นให้ผู้ชมดูวิดีโอบนช่องของคุณต่อเนื่อง
- ปรับแต่งวิดีโอให้เหมาะกับคีย์เวิร์ดหลัก
- ติดตามคู่แข่งและตามดูว่าคอนเทนต์ไหนติดเทรนด์
- วิเคราะห์เมตริกสำคัญเพื่อปรับกลยุทธ์
- สร้าง YouTube Shorts เพื่อขยายการเข้าถึง
1. สร้างวิดีโอที่มีแนวทางหรือรูปแบบที่สม่ำเสมอ
ช่อง YouTube ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่สามารถอธิบายแนวทางได้ภายในไม่กี่วินาที เช่น
- First We Feast: คนดังและอาหาร
- Blendtec’s Will it Blend?: ทดลองปั่นสิ่งของที่ไม่น่าจะปั่นได้
- Vox: อธิบายข่าวและประเด็นสำคัญในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย
ในทางกลับกัน หลายช่องกลับไม่สามารถเติบโตได้ เพราะมองว่า YouTube เป็นเพียงที่เก็บวิดีโอแทนที่จะเป็นแพลตฟอร์มสำหรับคอนเทนต์ที่มีแนวทางชัดเจน
ความสม่ำเสมอคือพื้นฐานของความสำเร็จบน YouTube หากขาดความสม่ำเสมอ คุณอาจสามารถดึงดูดความสนใจได้เป็นครั้งคราว แต่จะไม่สามารถรักษาผู้ชมให้อยู่กับคุณได้
ครีเอเตอร์ที่สามารถรักษาความสม่ำเสมอได้ จะมีโอกาสเพิ่มจำนวนผู้ติดตามและยอดวิวได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อผู้ชมเข้าใจแนวทางของช่อง พวกเขาจะตัดสินใจดูวิดีโอเพิ่มเติมและกดติดตามได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ First We Feast ซึ่งมีคอนเทนต์เกี่ยวกับคนดังที่กินอาหาร โดยมีรายการหลากหลายแต่ยังคงอยู่ภายใต้แนวคิดเดียวกัน สิ่งนี้ช่วยให้ช่องเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อวิดีโอใดวิดีโอหนึ่งกลายเป็นไวรัล ก็มีโอกาสสูงที่ผู้ชมจะดูวิดีโออื่นๆ ในช่องและกดติดตาม
หากคุณต้องการสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างจากแนวหลักของช่อง ควร สร้างช่องใหม่แยกต่างหาก เพื่อไม่ให้กระทบกับกลุ่มเป้าหมายเดิม ตัวอย่างเช่น First We Feast เป็นของ Complex ซึ่งเป็นช่องที่มีแนวทางและกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน พวกเขาใช้แท็บ "Featured Channels" เพื่อเชื่อมโยงกัน แต่ไม่ได้ทำให้เนื้อหาผสมปนกัน
ทำให้การอัปโหลดวิดีโอง่ายขึ้น
คุณสามารถใช้ซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอฟรี ที่ช่วยให้อัปโหลดวิดีโอไปยังช่องได้ในคลิกเดียว ลดเวลาการจัดการไฟล์ และช่วยให้คุณเผยแพร่วิดีโอได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
2. กระตุ้นระบบแนะนำด้วยแหล่งทราฟฟิกจากช่องทางอื่น
สำหรับช่อง YouTube ที่เพิ่งเริ่มต้น ไม่สามารถพึ่งพาระบบแนะนำของ YouTube เพียงอย่างเดียว ได้ทั้งหมด
เนื่องจากระบบแนะนำจะใช้ข้อมูลจากพฤติกรรมการรับชมและการมีส่วนร่วมกับวิดีโอก่อนหน้านี้เป็นหลัก แต่ถ้ายังไม่มีผู้ชม ระบบก็ไม่มีข้อมูลสำหรับใช้แนะนำวิดีโอของคุณ ดังนั้นควรใช้กลยุทธ์อื่นๆ เพื่อโปรโมตวิดีโอของคุณในช่วงแรก เช่น
- ส่งวิดีโอใหม่ให้กับรายชื่ออีเมลของคุณ
- ร่วมมือกับสื่อหรืออินฟลูเอนเซอร์เพื่อช่วยโปรโมต
- แชร์วิดีโอบนโซเชียลมีเดีย
- สร้าง YouTube Affiliate Marketing ให้ผู้ติดตามช่วยโปรโมต
แต่ที่สำคัญที่สุดคือให้ความสำคัญกับ YouTube SEO และการเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มยอดวิวในระยะยาวแล้ว ยังเป็นหนึ่งในสัญญาณสำคัญที่อัลกอริทึมใช้ในการปรับแต่งคำแนะนำวิดีโอให้ตรงกับแต่ละผู้ใช้
วิศวกรของ Google อธิบายไว้ว่า "สัญญาณที่สำคัญที่สุดคือข้อมูลเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้กับวิดีโอนั้นและวิดีโอที่คล้ายกัน" เช่น ผู้ใช้เคยดูวิดีโอจากช่องของคุณมากี่ครั้ง? ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาดูวิดีโอในหัวข้อเดียวกันคือเมื่อไหร่?
หากคุณสามารถทำให้ผู้ใช้ดูวิดีโอเพิ่มเติม หลังจากคลิกเข้ามาชมคลิปแรก โอกาสที่ระบบจะแนะนำวิดีโอของคุณให้พวกเขาเห็นในครั้งต่อไปที่เปิด YouTube จะเพิ่มขึ้น
อ่านเพิ่มเติม: คู่มือเริ่มต้นสำหรับการทำ YouTube Marketing
3. ออกแบบภาพหน้าปก (Thumbnail) ที่ดึงดูดให้คนคลิก
แม้ว่า YouTube จะให้ความสำคัญกับระยะเวลาการรับชม (Watch time) เพื่อลดปัญหาคลิกเบตที่ไม่มีคุณภาพ แต่อัตราการคลิก (CTR) ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ
ดังนั้น ถ้าคุณต้องการเพิ่ม CTR ของวิดีโอให้เริ่มจากการออกแบบ Thumbnail ที่ดึงดูดสายตา แหล่งไอเดียที่ดีสำหรับการทำ Thumbnail ให้โดดเด่น ได้แก่ แท็บวิดีโอยอดนิยม (Trending videos) ของ YouTube ดูว่า Thumbnail แบบไหนกำลังได้รับความนิยม หรือ Netflix ลองศึกษาการออกแบบภาพปกที่ใช้ดึงดูดผู้ชมให้เลือกดูคอนเทนต์
ใช้ภาพโคลสอัปของใบหน้าที่แสดงอารมณ์ หรือภาพแอ็กชันที่ดึงดูดสายตา
หากสังเกตดูบน YouTube คุณจะเห็นว่าหลายวิดีโอใช้ ภาพใบหน้าที่แสดงอารมณ์อย่างชัดเจน บน Thumbnail ซึ่งเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมและใช้ได้ผลดี
จากการศึกษาของ Netflix เกี่ยวกับประสิทธิภาพของภาพปก พวกเขาพบว่า "อารมณ์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารรายละเอียดที่ซับซ้อน" เนื่องจากมนุษย์มีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อใบหน้าได้เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นบนแพลตฟอร์มใดก็ตาม แต่มีข้อสังเกตสำคัญ ได้แก่ ใบหน้าที่แสดงอารมณ์ชัดเจน ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าใบหน้าที่ไม่มีอารมณ์ และภาพที่มีเกินสามคนมักให้ผลลัพธ์ที่แย่ลงในการดึงดูดความสนใจ
วิธีเพิ่ม CTR ให้กับ Thumbnail ของคุณ คือการใช้ ภาพโคลสอัปของใบหน้า (1-3 คน) ที่มีอารมณ์ชัดเจน, เลือก สีสันและมุมกล้องที่ช่วยเน้นอารมณ์ และหากวิดีโอไม่มีใบหน้าคน ให้ใช้ ภาพแอ็กชันที่สร้างอารมณ์ร่วม เช่น ช่อง The Slow Mo Guys ที่ใช้ภาพการกระทำที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นความอยากดู
Thumbnail ที่สื่อสารอารมณ์และเรื่องราวได้ดี ช่วยเพิ่มโอกาสให้วิดีโอของคุณถูกคลิก และมีโอกาสเข้าสู่ระบบแนะนำของ YouTube ได้มากขึ้น
ใช้ “กฎสามส่วน” (Rule of Thirds) เพื่อจัดวางองค์ประกอบใน Thumbnail
กฎสามส่วนเป็นเทคนิคที่ช่วยให้ภาพมีองค์ประกอบสมดุล และยังเป็นวิธีที่ใกล้เคียงกับ Golden Ratio ซึ่งมีการศึกษาพบว่า ช่วยลดระยะเวลาที่สมองใช้ในการประมวลผลภาพ ทำให้ผู้ชมเข้าใจภาพได้เร็วขึ้น
หลักการของกฎสามส่วนคือ อย่าจัดวางจุดสนใจไว้ตรงกลางภาพ แต่ให้วางใน หนึ่งในสามแรกหรือสามสุดท้ายของเฟรม เพื่อให้ภาพดูเป็นธรรมชาติและดึงดูดสายตาได้ดีขึ้น
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงแนวทาง ไม่ใช่กฎตายตัว แต่การออกแบบ Thumbnail โดยใช้หลักนี้ จะช่วยให้สายตาของผู้ชมจับจุดสำคัญของภาพได้ง่ายขึ้น และทำให้ข้อความในภาพสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพิ่มข้อความบน Thumbnail ของคุณ
ประมาณ 90% ของการเข้าชม YouTube ทั่วโลกมาจากอุปกรณ์มือถือ ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่เห็น Thumbnail ก่อนที่จะอ่านชื่อวิดีโอ
เนื่องจาก Thumbnail เป็นจุดที่ดึงดูดสายตาเป็นอันดับแรก หากภาพดูน่าสนใจ ผู้ชมจึงค่อยอ่านชื่อวิดีโอและตัดสินใจกดคลิก
ดังนั้นการเพิ่มข้อความบน Thumbnail จะช่วยให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อหาของวิดีโอได้เร็วขึ้น และทำให้พวกเขาตัดสินใจดูได้ง่ายขึ้น
ข้อความที่ใส่ใน Thumbnail อาจเป็น ชื่อวิดีโอ, คำสั้นๆ ที่เชื่อมโยงกับจุดเด่นของวิดีโอ หรือคำกระตุ้นความสนใจ (Hook) เช่น "ต้องดู!" หรือ "เบื้องหลังห้ามพลาด!"
สิ่งสำคัญคือข้อความต้องอ่านง่ายและสื่อความหมายชัดเจน เพราะผู้ใช้กว่า 1 ใน 3 คุ้นเคยกับการ "อ่าน" Thumbnail ก่อนที่จะดูรายละเอียดเพิ่มเติม
สร้างเอกลักษณ์ให้กับ Thumbnail ของคุณ
หากลองดูที่แท็บ วิดีโอยอดนิยม (Trending) บน YouTube จะเห็นว่าวิดีโอที่ติดเทรนด์ส่วนใหญ่ใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการสร้าง “ความประทับใจแรก” ผ่าน Thumbnail
เนื่องจาก Thumbnail บน YouTube มักจะมีลักษณะคล้ายกัน การสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจนให้กับ Thumbnail ของคุณ จะช่วยให้ผู้ชมจดจำวิดีโอของคุณได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสให้พวกเขาคลิกเข้ามาดู โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคอนเทนต์ของคุณอยู่แล้ว
หากช่องของคุณมีแนวทางที่สม่ำเสมอควรใช้ดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อให้ Thumbnail ของคุณแตกต่างจากวิดีโออื่นในหน้าคำแนะนำ เช่น ใช้สีหลักหรือฟอนต์เฉพาะ ที่สื่อถึงแบรนด์ของคุณ, เพิ่มโลโก้หรือไอคอนประจำช่อง และใช้โครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ในทุก Thumbnail
การสร้างแบรนด์ให้กับ Thumbnail ช่วยให้ผู้ชมจดจำช่องของคุณได้ง่ายขึ้น และกระตุ้นให้คนที่เห็นหน้าแนะนำคลิกดูวิดีโอมากขึ้น
4. ดึงดูดให้ผู้ชมอยู่ดูวิดีโอนานขึ้น
การทำให้ผู้ชมคลิกเข้ามาดูวิดีโอเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำให้พวกเขาดูจนจบเป็นอีกเรื่อง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ Watch Time และอันดับของวิดีโอในระบบแนะนำของ YouTube
โชคดีที่คุณสามารถเพิ่มอัตราการดูจนจบ (Completion Rate) และระยะเวลาการรับชม (Watch Time) ได้ตั้งแต่กระบวนการสร้างวิดีโอ ด้วยวิธีต่อไปนี้
- เปิดวิดีโอให้ดึงดูดตั้งแต่ต้น และใช้ Hook ที่น่าสนใจเพื่อดึงความสนใจของผู้ชม
- เพิ่มคำบรรยาย (Subtitle) เพื่อให้คนสามารถดูวิดีโอแบบปิดเสียงได้
- ปรับความยาวของวิดีโอตามข้อมูลวิเคราะห์ (ดูว่าผู้ชมมักเลิกดูวิดีโอช่วงไหน แล้วปรับเนื้อหาให้เหมาะสม)
- เปลี่ยนมุมกล้องหรือฉากบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชมเบื่อ (นี่คือเหตุผลที่ Jump Cuts ได้รับความนิยมบน YouTube)
- ถ้าวิดีโอยาว ควรเพิ่มช่วงที่ช่วยดึงความสนใจ เพื่อให้ผู้ชมโฟกัสอยู่กับเนื้อหา
- กระตุ้นให้ผู้ชมกด Subscribe หรือดูวิดีโออื่นๆ ผ่านหน้าจอจบ (End Screen) และชวนให้เปิดแจ้งเตือนเพื่อติดตามวิดีโอใหม่ๆ
5. กระตุ้นให้ผู้ชมดูวิดีโอบนช่องของคุณต่อเนื่อง
คุณสามารถเพิ่มระยะเวลาการรับชม (Watch Time) ในระดับช่องได้โดยใช้กลยุทธ์ที่ช่วยให้ผู้ชมดูวิดีโอต่อเนื่องและรักษาความสม่ำเสมอของคอนเทนต์
นอกเหนือจากการมีแนวทางที่ชัดเจนสำหรับช่อง YouTube ของคุณ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดแล้ว วิธีอื่นๆ ที่ช่วยให้ผู้ชมดูวิดีโอของคุณมากขึ้น ได้แก่
- ใช้ Cards และ End Screen เพื่อแนะนำวิดีโอที่เกี่ยวข้องให้ผู้ชมกดดูต่อ
- แชร์วิดีโอโดยแนบ ลิงก์จากเพลย์ลิสต์ เพื่อให้วิดีโอถัดไปที่ผู้ชมดูยังคงเป็นวิดีโอจากช่องของคุณ
- สร้าง รูปแบบที่สม่ำเสมอ ตั้งแต่ Thumbnail ไปจนถึงเนื้อหาในวิดีโอ เพื่อให้ผู้ชมที่ชอบวิดีโอหนึ่งมีแนวโน้มที่จะชอบวิดีโออื่นๆ ในช่อง
- ใส่ Call to Action อย่างชัดเจน หรือใช้ฉากจากวิดีโออื่นเพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมดูวิดีโอเพิ่มเติม
Cards เป็นเครื่องมือที่ช่วยนำทางผู้ชมให้ดูวิดีโออื่นๆ ในช่องของคุณได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การเปิดซับไตเติล (Subtitles) ในวิดีโอทุกตัวก็เป็นไอเดียที่ดี เพราะช่วยให้ผู้ชมสามารถรับชมได้แม้ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเปิดเสียงได้
6. ปรับแต่งวิดีโอให้เหมาะกับคีย์เวิร์ดหลัก
เนื่องจาก YouTube เป็นเครื่องมือค้นหาด้วย การปรับแต่งวิดีโอให้ตรงกับคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง ไม่เพียงแต่ช่วยให้วิดีโอของคุณปรากฏในผลการค้นหาของ YouTube มากขึ้น แต่ยังช่วยให้ระบบเข้าใจเนื้อหาของวิดีโอได้ดีขึ้น และสามารถแนะนำวิดีโอให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น
ขั้นแรกควรทำการค้นหาคีย์เวิร์ด บน YouTube เพื่อดูว่าหัวข้อหรือคำค้นหาใดกำลังได้รับความนิยม และอาจตรงกับความสนใจของผู้ชมของคุณ การใช้ ส่วนขยาย Chrome อย่าง TubeBuddy จะช่วยให้คุณระบุคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดสำหรับใช้กับวิดีโอของคุณได้ง่ายขึ้น
เพียงแค่พิมพ์คีย์เวิร์ดที่ต้องการลงในแถบค้นหา แล้วดูสถิติของ TubeBuddy ที่แสดงในแถบด้านข้าง จากนั้นลองค้นหาคีย์เวิร์ดอื่นที่เกี่ยวข้อง จนกว่าจะพบคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมที่สุด
พยายามเลือกคีย์เวิร์ดที่มีคะแนนโดยรวม "Very Good" หรือ "Excellent" อย่างไรก็ตาม หากวิดีโอของคุณมักจะติดอันดับอยู่แล้ว อาจไม่ต้องกังวลกับระดับ "Competition" มากนัก เนื่องจากช่องของคุณมีศักยภาพในการแข่งขันอยู่แล้ว
หลังจากนั้น อย่าลืมใส่คีย์เวิร์ดที่เลือกไว้ใน ชื่อวิดีโอ คำอธิบายและแท็ก นอกจากนี้คุณสามารถเพิ่มแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องไว้ที่ด้านล่างของคำอธิบาย เพื่อช่วยจัดหมวดหมู่เนื้อหาของวิดีโอได้ดียิ่งขึ้น
อ่านเพิ่มเติม: YouTube Ads สำหรับมือใหม่: วิธีโฆษณาบน YouTube ให้ได้ผล
7. ติดตามคู่แข่ง
หากคู่แข่งของคุณมีความเคลื่อนไหวบน YouTube ควรสังเกตว่า พวกเขากำลังทำคอนเทนต์แบบไหน เพราะสิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือให้วิดีโอของพวกเขาถูกแนะนำแทนที่คอนเทนต์ของคุณ
สิ่งที่ควรให้ความสนใจ ได้แก่
- วิดีโอที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
- เพลย์ลิสต์หรือซีรีส์ที่พวกเขาผลิต
- ระดับการมีส่วนร่วมของผู้ชม
- วิธีที่พวกเขาตั้งชื่อวิดีโอ คำอธิบาย และใช้เมตะดาต้า
การเข้าใจว่าสิ่งที่คู่แข่งกำลังทำอยู่ช่วยให้คุณสามารถกำหนดกลยุทธ์ได้ดีขึ้น และมั่นใจว่าช่องของคุณก็ครอบคลุมหัวข้อที่ผู้ชมสนใจเช่นกัน
8. ติดตามตัวชี้วัด (Metrics)
YouTube ไม่สนับสนุนกลยุทธ์ "คลิกเบต" หรือการล่อลวงให้ผู้ใช้กดเข้ามาดูวิดีโอโดยสัญญาสิ่งที่ไม่เป็นจริง เนื่องจาก อัตราการคลิก (CTR) และ Watch Time ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ หากไม่มีการคลิกเข้าชม ก็ไม่มีทางที่วิดีโอของคุณจะสร้าง Watch Time ได้
คุณสามารถดูข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ได้จาก YouTube Studio โดยเข้าไปที่แดชบอร์ดวิเคราะห์ข้อมูลของ YouTube ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มของช่องและวิดีโอของคุณได้ดียิ่งขึ้น
ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึง (Organic Reach) ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของ CTR และ Watch Time ได้แก่
- Impressions: จำนวนครั้งที่ Thumbnail ของวิดีโอของคุณปรากฏให้ผู้ชมเห็น (บนหน้าแรก YouTube, วิดีโอแนะนำ หรือผลการค้นหา)
- Traffic sources for impressions: แหล่งที่มาของการแสดงผลวิดีโอ เช่น วิดีโอถูกแสดงบนหน้าแรกของ YouTube หรืออยู่ในผลการค้นหา
- Impressions click-through rate (CTR): อัตราส่วนของผู้ชมที่คลิกเข้าดูวิดีโอหลังจากเห็น Thumbnail (พิจารณาจากผู้ใช้ที่ล็อกอิน)
- Views from impressions: จำนวนครั้งที่ผู้ชมเข้าดูวิดีโอของคุณหลังจากเห็นใน YouTube
- Watch time from impressions: ระยะเวลาการรับชมที่เกิดจากผู้ชมที่เห็นและคลิกวิดีโอของคุณบน YouTube
การติดตามตัวเลขเหล่านี้จะช่วยให้คุณปรับปรุงกลยุทธ์การทำคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสให้วิดีโอของคุณได้รับการแนะนำมากขึ้น
9. สร้าง YouTube shorts
YouTube Shorts เป็นฟอร์แมตวิดีโอสั้นที่ YouTube พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมการรับชมวิดีโอแนวตั้งบนมือถือ และแข่งขันกับแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram Reels
Shorts ถูกออกแบบมาให้ดูง่ายและรวดเร็ว ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถเชื่อมต่อกับผู้ชมและแชร์คอนเทนต์ที่สั้น กระชับ และสนุกได้ง่ายขึ้น
อัลกอริทึมของ YouTube Shorts จะใช้ปัจจัยหลายอย่างในการแนะนำวิดีโอให้กับผู้ชม เช่น
- การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ – ระบบพิจารณาการกดไลก์ คอมเมนต์ แชร์ และระยะเวลาการรับชม วิดีโอที่ได้รับการมีส่วนร่วมสูงมักถูกแนะนำมากขึ้น
- การปรับแต่งตามความสนใจของผู้ชม – อัลกอริทึมจะเลือก Shorts ตามประวัติการรับชมและความสนใจของแต่ละคน
- ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา – ระบบจะวิเคราะห์คีย์เวิร์ด คำอธิบาย และแท็กของวิดีโอ เพื่อแนะนำ Shorts ที่ตรงกับพฤติกรรมการค้นหาหรือการรับชม
- ประวัติของครีเอเตอร์ – ครีเอเตอร์ที่มีประวัติสร้างคอนเทนต์คุณภาพดีและได้รับการมีส่วนร่วมสูง มีโอกาสที่วิดีโอของพวกเขาจะถูกแนะนำมากขึ้น
YouTube Shorts เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถขยายการเข้าถึงและเพิ่มโอกาสให้วิดีโอของพวกเขาปรากฏต่อผู้ชมใหม่ๆ ได้มากขึ้น
ใช้อัลกอริธึม YouTube ขยายธุรกิจของคุณ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อัลกอริทึมของ YouTube มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ทำให้ครีเอเตอร์และแบรนด์ต้องปรับตัว เพราะวิธีที่เคยใช้ได้ผลอาจไม่ได้ผลเหมือนเดิมอีกต่อไป
แต่แม้ว่าอัลกอริทึมจะเปลี่ยนไปเป้าหมายของ YouTube ยังคงเดิม คือ ทำให้ผู้ชมดูวิดีโอและมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มมากขึ้น ซึ่งเป้าหมายนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่คุณต้องการ
สุดท้ายแล้ว การสร้างวิดีโอที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายคือกุญแจสำคัญ ยิ่งวิดีโอของคุณดึงดูดและมีส่วนร่วมสูงเท่าไร ระบบของ YouTube ก็จะยิ่งแนะนำวิดีโอของคุณให้ผู้ชมใหม่ๆ มากขึ้น
ทูบของคุณ ยิ่งคุณสร้างวิดีโอที่มีส่วนร่วมมากเท่าไร อัลกอริธึมก็จะยิ่งแนะนำวิดีโอของคุณให้กับผู้ใช้มากขึ้นเท่านั้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ อัลกอริธึม YouTube
อัลกอริธึม YouTube คืออะไร?
อัลกอริทึมของ YouTube เป็นระบบแนะนำวิดีโอที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ โดยช่วยให้ผู้ชมค้นพบเนื้อหาที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุด ระบบนี้ทำงานแบบเรียลไทม์และปรับแต่งการแนะนำวิดีโอตามพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
ปัจจัยอะไรที่กระตุ้นอัลกอริทึมของ YouTube?
อัลกอริทึมของ YouTube มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและทำงานโดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น
- ระยะเวลาการรับชมวิดีโอ (Watch Time)
- การมีส่วนร่วมของผู้ชม (ไลก์ คอมเมนต์ แชร์)
- ความเกี่ยวข้องของวิดีโอกับพฤติกรรมของผู้ใช้
- ประวัติการรับชมของผู้ใช้
ใครเป็นผู้พัฒนาอัลกอริทึม YouTube?
อัลกอริทึมของ YouTube ถูกพัฒนาโดยทีมวิศวกรและนักพัฒนาของ YouTube ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Google โดยทีมงานเหล่านี้ทำการปรับปรุงระบบอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้การแนะนำเนื้อหามีความแม่นยำและสอดคล้องกับความสนใจของผู้ใช้มากขึ้น
จะเพิ่มยอดวิววิดีโอบน YouTube ได้อย่างไร?
หากต้องการเพิ่มยอดวิววิดีโอ ควรใช้กลยุทธ์ดังนี้ สร้างคอนเทนต์คุณภาพที่น่าสนใจและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย, ใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมในชื่อวิดีโอและคำอธิบาย, โปรโมตวิดีโอบนโซเชียลมีเดีย, อัปโหลดวิดีโออย่างสม่ำเสมอ และมีส่วนร่วมกับผู้ชมผ่านคอมเมนต์และโพสต์ในชุมชนของ YouTube