นักวิเคราะห์สายเทคมักจะบอกด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า Email Marketing กำลังจะตาย แต่แค่ลองเปิดกล่องอีเมลก็จะเห็นได้ชัดว่า “ยังมีเมลเข้ามาอยู่เสมอ”
Email Marketing สำหรับอีคอมเมิร์ซเป็นช่องทางที่เจ้าของร้านสามารถเข้าถึงลูกค้าด้วยข้อความที่เกี่ยวข้องและปรับให้เหมาะสมกับแต่ลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ในเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางที่เข้มงวดของโลกออนไลน์ที่มีข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้อีเมลทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัว
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของร้านขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้นใช้ Email Marketing หรือกำลังวางแผนแคมเปญใหญ่ครั้งต่อไป คู่มือนี้จะช่วยให้เห็นว่าแคมเปญแบบไหนที่ได้ผลดีที่สุด และวิธีใช้ทุกการส่งอีเมลให้คุ้มค่าที่สุด
Email Marketing สำหรับอีคอมเมิร์ซคืออะไร?
Email Marketing สำหรับอีคอมเมิร์ซ คือการส่งข้อความทางการตลาดไปยังลูกค้าเป้าหมายและลูกค้าปัจจุบันผ่านอีเมล เพื่อขายสินค้า ให้ข้อมูล หรือสร้างความภักดีต่อแบรนด์
อีเมลถือเป็นช่องทางการตลาดดิจิทัลแบบ "Owned" ซึ่งหมายความว่าผู้ส่งสามารถควบคุมเนื้อหาและการกระจายข้อมูลได้อย่างเต็มที่ และมักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเมื่อใช้ส่งข้อความที่เป็นส่วนตัวและตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
อีเมลยังเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับอีคอมเมิร์ซ โดยใช้สำหรับส่งข้อความในรูปแบบต่างๆ เช่น Transactional Emails, Promotional Emails และ Lifecycle Emails เป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการเชื่อมต่อกับลูกค้าบนมือถือ และช่วยให้แคมเปญการตลาดของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด
3 ประเภทของ Email Marketing สำหรับอีคอมเมิร์ซ
มาดูประเภทหลักของ Email Marketing ที่เจ้าของร้านอีคอมเมิร์ซนิยมใช้กัน
1. Transactional Emails
Transactional Emails คืออีเมลที่ถูกส่งในระหว่างการชำระเงินหรือกระบวนการซื้อสินค้า มีลักษณะที่เน้นการแจ้งข้อมูลสำคัญให้กับลูกค้าแต่ละราย เช่น อีเมลยืนยันคำสั่งซื้อ อีเมลแจ้งการจัดส่ง และใบเสร็จรับเงิน
จากการศึกษาพบว่า อัตราการเปิดอีเมลของ Transactional Emails อยู่ที่ประมาณ 60% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 37.65% อย่างมาก เหตุผลก็คืออีเมลเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อความทางการตลาด แต่เป็นสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังและรอรับข้อมูลโดยตรงจากร้านค้า
อีเมลยืนยันคำสั่งซื้อและใบเสร็จ
ใช้อีเมลยืนยันคำสั่งซื้อเป็นโอกาสในการรักษาลูกค้าให้กลับมาซื้อซ้ำหลังจากการสั่งซื้อครั้งแรก
อีเมลใบเสร็จควรตอบคำถามพื้นฐานที่ลูกค้ามักสงสัย เช่น สินค้าจะถูกจัดส่งเมื่อไหร่, จัดส่งไปที่อยู่ใด หรือหากมีคำถาม ควรติดต่อที่ไหน
เมื่อข้อมูลสำคัญเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว ค่อยเพิ่มองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับอีเมล สำหรับลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าแล้ว ลองแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง หรือเสนอออปชั่นเสริม เช่น อุปกรณ์เสริมที่สามารถเพิ่มเข้าไปก่อนการจัดส่ง
ตัวอย่างเช่น Crate & Barrel ส่งอีเมลยืนยันคำสั่งซื้อก่อนที่สินค้าจะถูกจัดส่ง พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้าเพิ่มสินค้าอื่นลงไปในกล่องก่อนการจัดส่ง

วิธีปรับปรุงอีเมลยืนยันคำสั่งซื้อ
- เพิ่มยอดขายด้วย Upsell แนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น อุปกรณ์เสริม เสนอทางเลือกให้ลูกค้าซื้อสินค้าชิ้นเดิมเป็นของขวัญให้เพื่อน หรือเพิ่มตัวเลือกการสมัครสมาชิกสำหรับการสั่งซื้อแบบต่อเนื่อง
- เสนอส่วนลดหรือจัดส่งฟรีสำหรับการซื้อครั้งถัดไป ภายในระยะเวลาที่กำหนด เทคนิคนี้เรียกว่า Bounce-Back Offer ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง ถึงแม้จะมีการให้ส่วนลด แต่การทำให้ลูกค้ากลับมาในราคาที่ถูกลงยังดีกว่าการที่พวกเขาไม่กลับมาเลย
- เชิญชวนลูกค้าเข้าร่วมคอมมูนิตี้ของแบรนด์ หากสินค้าที่ขายมีแค่ฟังก์ชันใช้งานทั่วไป วิธีนี้อาจไม่เหมาะสม แต่หากแบรนด์ต้องการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและมีคุณค่าร่วมกับลูกค้า อีเมลใบเสร็จก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้ลูกค้าเชื่อมต่อกับคอมมูนิตี้ของคุณได้
อีเมลยืนยันการจัดส่งสินค้า
อีเมลยืนยันการจัดส่งจะถูกส่งเมื่อสินค้าถูกจัดส่งออกไปแล้ว อีเมลประเภทนี้มีมูลค่าสูงเพราะลูกค้ากำลังตื่นเต้นกับการรอรับสินค้า อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่มักถูกมองข้ามในการเพิ่มความสร้างสรรค์และทำให้ลูกค้าประทับใจ
ลองมองให้ไกลกว่าการแจ้งข้อมูลการจัดส่ง คุณสามารถใช้อีเมลยืนยันการจัดส่ง เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าทำสิ่งอื่นๆ และสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นกับแบรนด์ได้อย่างไร?
ตัวอย่างเช่น Tradesy (ปัจจุบันคือ Vestiaire Collective) ใช้อีเมลยืนยันการจัดส่งเพื่อโปรโมตโปรแกรมแนะนำเพื่อน โดยให้ลูกค้าสามารถมอบส่วนลด 700 บาท ให้กับเพื่อนหรือครอบครัว

วิธีปรับปรุงอีเมลยืนยันการจัดส่ง
- ให้ลูกค้าติดตามพัสดุได้ง่าย ระบุวันที่คาดว่าจะได้รับสินค้าและแนบหมายเลขติดตามพัสดุที่ลิงก์ไปยังบริษัทขนส่งโดยตรง เพื่อให้ลูกค้าสามารถคลิกเพื่อตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้ทันที
- กระตุ้นให้ลูกค้าแนะนำเพื่อน เสนอให้ลูกค้าส่งลิงก์สินค้าที่พวกเขาซื้อให้เพื่อนหรือครอบครัว และใช้โปรแกรมแนะนำเพื่อน (Referral Program) ที่ให้รางวัลเพื่อกระตุ้นการบอกต่อ
- แนะนำสินค้าที่เข้ากันได้ เพิ่มคำแนะนำสินค้าที่เหมาะกับสิ่งที่ลูกค้าสั่งซื้อ เช่น หากลูกค้าซื้อกางเกงผู้ชาย อาจแนะนำเสื้อเชิ้ตหรือเนคไทที่เข้าชุดกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำ
อีเมลติดตามหลังการซื้อ
หลายแบรนด์มักมองข้ามความคิดเห็นของลูกค้า ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อธุรกิจ แต่โชคดีที่การขอความคิดเห็นจากลูกค้าเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ส่งแบบสำรวจ หรือถามคำถามสั้นๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ช้อปปิ้งของพวกเขา
ในอีเมลติดตามหลังการซื้อ คุณสามารถแนบลิงก์ไปยังแบบสำรวจภายนอก หรือใส่แบบสำรวจไว้ในอีเมลโดยตรง โดยใช้ระบบให้คะแนน เช่น “ให้คะแนนประสบการณ์ของคุณ”
ควรส่งคำขอความคิดเห็นหลังจากที่ลูกค้าได้รับและมีโอกาสใช้สินค้าที่สั่งไปแล้ว ตัวอย่างเช่น Dairy Queen ใช้อีเมลเช็คอินเพื่อขอให้ลูกค้าทำแบบสำรวจเกี่ยวกับประสบการณ์การซื้อของพวกเขา

วิธีปรับปรุงอีเมลขอความคิดเห็นจากลูกค้า
- โฟกัสที่ความพึงพอใจของลูกค้า ไม่ใช่การขาย เพื่อให้ได้ข้อมูลจริงเกี่ยวกับประสบการณ์การซื้อสินค้า ควรติดตามผลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปพัฒนาธุรกิจ
- วางแบบฟอร์มรีวิว/แบบสำรวจบนเว็บไซต์ เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นข้อเสนอพิเศษหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องหลังจากให้ความคิดเห็นแล้ว อาจช่วยกระตุ้นการซื้อเพิ่มเติมได้
- ติดตามลูกค้าที่ไม่พอใจ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยให้ได้รับคำตอบที่แท้จริงแล้ว ยังเป็นโอกาสในการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้ารายใหม่ในอนาคต
- แสดงรีวิวบนหน้าสินค้า รีวิวจากลูกค้าจริง (User-Generated Content) สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ซื้อรายใหม่และกระตุ้นยอดขายได้
อีเมลขอบคุณ (Thank You Email)
อีเมลขอบคุณ เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างความภักดีให้กับลูกค้า ช่วยให้แบรนด์ของคุณยังคงอยู่ในกล่องอีเมลของพวกเขา และเป็นอีกโอกาสหนึ่งในการเพิ่ม CTR ผ่านคูปองส่วนลดหรือลิงก์ไปยังร้านค้าออนไลน์
จากรายงานของ HubSpot พบว่า อีเมลขอบคุณมีอัตราการมีส่วนร่วมสูงกว่าอีเมลการตลาดทั่วไปถึงสองเท่า โดยอีเมลขอบคุณมี อัตราการเปิด (Open Rate) 42% และ CTR 14% และอีเมลการตลาดทั่วไปมี อัตราการเปิด 12% และ CTR 6%
สามารถเลือกใช้ อีเมลแบบข้อความธรรมดา หรือเทมเพลตอีเมลอัตโนมัติได้ แบรนด์อย่าง Bee Free ให้บริการเทมเพลตและโซลูชันสำหรับอีเมลธุรกิจทุกประเภท เช่น ในตัวอย่างด้านล่าง Bee ใช้อีเมลขอบคุณเพื่อสื่อสารกับสมาชิกอีเมลของตน

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพอีเมลขอบคุณ
- ทำให้เรียบง่าย ข้อความควรกระชับและเข้าใจง่าย พร้อมใส่ Call to Action (CTA) ที่ชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมกับธุรกิจของคุณต่อไป
- ใช้ Smart CTA เพราะ CTA แบบอัจฉริยะจะเปลี่ยนแปลงตามผู้บริโภค ทำให้อีเมลขอบคุณมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าตอบสนองต่อ CTA ได้มากขึ้น
- ทำให้อีเมลแชร์บนโซเชียลมีเดียได้ง่าย หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการกระจาย Email Marketing ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่คือการทำให้แชร์ได้ ลูกค้าอาจส่งต่ออีเมลให้เพื่อน แต่ถ้าพวกเขาสามารถแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียได้ ก็จะช่วยขยายการเข้าถึงได้เร็วและกว้างขึ้นมาก
2. อีเมลโปรโมชั่น
Promotional Emails ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับดีลพิเศษ หรือ (ตามชื่อ) โปรโมชั่น
Broadcast Emails เป็นอีเมลที่ส่งถึงผู้ติดตามทั้งหมด หรือมักจะส่งถึงกลุ่มเป้าหมายที่แบ่งออกเป็นเซ็กเมนต์ในลิสต์อีเมลของคุณ ตัวอย่างของ Broadcast Emails ได้แก่ การเปิดตัวสินค้าใหม่, จดหมายข่าวรายเดือน, โปรโมชั่นที่มีระยะเวลาจำกัด, ดีลตามฤดูกาล และการอัปเดตคอนเทนต์ใหม่
อีเมลประเภทนี้อาจถูกจัดเป็นข้อความที่ส่งออกไปเมื่อต้องการแจ้งข่าวสารที่สำคัญ ดังนั้น ควรนึกถึงเป้าหมายหลักของอีเมล ข้อเสนอที่ดึงดูดใจ และเลือกกลุ่มผู้รับที่เหมาะสมเพื่อให้แคมเปญได้ผลลัพธ์สูงสุด
สินค้า (หรือบริการ) ใหม่
สินค้ามาใหม่หลายรายการมักถูกพัฒนาขึ้นจาก ความคิดเห็นของลูกค้า ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการเปิดตัวสินค้าคือการแจ้งให้ ผู้ติดตามอีเมลของคุณ ทราบก่อน หากสินค้าหรือบริการใหม่ของคุณตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่ม คุณสามารถใช้ การแบ่งเซ็กเมนต์อีเมล ตามประวัติการสั่งซื้อของลูกค้า และเสนอ สิทธิ์เข้าถึงก่อนใคร ให้กับกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความรู้สึกพิเศษให้กับลูกค้า
ดีลที่มีเวลาจำกัด
สร้างโปรโมชั่นที่มีระยะเวลาจำกัดให้สอดคล้องกับความสนใจของลูกค้า เช่น เสนอส่วนลดสำหรับสินค้าประเภทเดียวกับที่พวกเขาซื้อไปเมื่อสัปดาห์ก่อน อย่าลืมว่า เมื่อดีลมีความน่าสนใจมากพอ ข้อความควรตรงไปตรงมา ไม่ต้องซับซ้อนเกินไป เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจข้อเสนอและตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิก
ไม่ว่าคุณจะส่ง จดหมายข่าวเป็นประจำ หรือใช้ แคมเปญอีเมลแบบ Drip Campaign สำหรับโปรโมชั่นพิเศษ คุณสามารถเพิ่ม โค้ดส่วนลด เพื่อกระตุ้นให้สมาชิกตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น การมอบสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกช่วยสร้าง ความรู้สึกพิเศษและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระตุ้นอารมณ์และเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อ ตัวอย่างเช่น Pioneer ใช้ ส่วนลดเฉพาะสมาชิก ในอีเมลโดยแจ้งเตือนลูกค้าล่วงหน้าถึง โปรโมชั่น Black Friday และบอกสมาชิกว่าพวกเขาจะได้รับ โค้ดส่วนลดพิเศษในวันลดราคา

โปรโมชั่นตามเทศกาล
หนึ่งในกลยุทธ์อีเมลมาร์เก็ตติ้งที่ได้ผลและใช้กันอย่างแพร่หลายคือ การแจ้งเตือนสมาชิกเกี่ยวกับข้อเสนอพิเศษในช่วงเทศกาลหรือช่วงเวลาสำคัญของปี คุณอาจต้องการแจ้งลูกค้าเกี่ยวกับโปรโมชั่น Black Friday, การลดราคาหลังเทศกาลคริสต์มาส, แคมเปญ Spring Clearance Sale และการเตือนวันหยุดสำคัญ เช่น วันพ่อ ตัวอย่างเช่น แบรนด์แฟชั่น Everlane ใช้ อีเมลโปรโมต Black Friday โดยใส่แบนเนอร์สีเขียวมะนาวที่โดดเด่นสะดุดตา พร้อมเสนอ ส่วนลด 40% และใส่ปุ่ม "Shop Now" เพื่อให้ลูกค้าคลิกเข้าไปช้อปได้ทันที

จดหมายข่าว
จดหมายข่าวรายสัปดาห์หรือรายเดือน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการ ให้ความรู้แก่ลูกค้าและเล่าเรื่องราวของแบรนด์ โดยไม่ต้องพึ่งพาการลดราคาหรือโปรโมชั่น ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายได้ในระยะยาว
ไม่ว่าใครๆ ก็ชอบเรื่องราวที่น่าสนใจ หากคุณสามารถหา เรื่องราวดีๆ จากพนักงาน ลูกค้า หรือแม้แต่จากประสบการณ์ของตัวเอง ลองใช้เป็นหัวข้อสำหรับจดหมายข่าว
ตัวอย่างเช่น ลูกค้าคนหนึ่งใช้ผลิตภัณฑ์ฟิตเนสของคุณและสามารถลดน้ำหนักได้ 50 ปอนด์ หรือแบ่งปันแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณเริ่มต้นธุรกิจ เนื้อหาเหล่านี้ควร ทั้งน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับแบรนด์ เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงกับผู้อ่าน
ตัวอย่างด้านล่างจาก Rothy’s แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ใช้จดหมายข่าวเพื่อเล่าถึง พันธกิจในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก โดยเฉพาะในด้าน ความยั่งยืน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างจุดยืนของแบรนด์และดึงดูดลูกค้าที่มีแนวคิดเดียวกัน

อัปเดตคอนเทนต์
หากคุณใช้ Content Marketing เพื่อให้ความรู้แก่ลูกค้าและขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย ลองใส่คอนเทนต์เหล่านั้นลงใน จดหมายข่าวรายสัปดาห์หรือรายเดือน หรือใช้ระบบ RSS Email เพื่อส่งคอนเทนต์ใหม่ไปยังสมาชิกโดยอัตโนมัติ
เมื่อมีงบประมาณมากพอ ควรลงทุนสร้างคอนเทนต์ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าหรือบริการของคุณมากขึ้น เช่น เคล็ดลับการดูแลผิว สำหรับสินค้ากลุ่มบิวตี้ หรือวิธีเลือกอุปกรณ์ออกกำลังกาย ให้เหมาะกับเป้าหมายฟิตเนสของลูกค้า
การเพิ่มบริบทที่เป็นประโยชน์ให้กับสินค้าใหม่หรือสินค้าที่อัปเดต จะช่วยให้ลูกค้าเห็นคุณค่าและตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
อีเมล Upsell
อีเมล Upsell เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ถูกกระตุ้น หลังจากที่ลูกค้าเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า บนร้านค้าออนไลน์ โดยอีเมลนี้จะแจ้งให้ลูกค้าทราบว่า มีตัวเลือกที่พรีเมียมหรือรุ่นที่อัปเกรดของสินค้านั้น
อีเมล Upsell ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเลือกอัปเกรดสินค้า เพิ่มยอดขายและมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV) ให้สูงขึ้น
ตัวอย่างด้านล่างจาก Athletic Greens แสดงให้เห็นว่าแบรนด์เสนอให้ลูกค้า อัปเกรดเป็นระบบสมัครสมาชิก โดยหากลูกค้ารับข้อเสนอนี้ จะประหยัดได้ 700 บาทต่อเดือน พร้อมรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมมากมาย
อีเมล Cross-sell
อีเมล Cross-Sell เป็นอีเมลที่ถูกส่งโดยอัตโนมัติตามพฤติกรรมของลูกค้า เช่น ประวัติการซื้อสินค้า การเข้าชมเว็บไซต์ หรือข้อมูลโปรไฟล์ โดยมักถูกส่ง ไม่กี่วันหลังจากการซื้อหรือการเข้าชมสินค้า
ตัวอย่างเช่น Lyst แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้านแฟชั่น ใช้อีเมล Cross-Sell เพื่อแนะนำสินค้า จากแบรนด์ที่ลูกค้าเคยสนใจ โดยในอีเมล ลูกค้าสามารถเลือกดูแบรนด์โปรดของตนได้ทันที และคลิก “See More” เพื่อเข้าชมคอลเลกชันทั้งหมดบนเว็บไซต์

3. ไลฟ์ไซเคิลอีเมล
Lifecycle Emails ทรงพลังเพราะเป็นอีเมลที่ มีความเป็นส่วนตัว และส่งถึง กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ตามพฤติกรรมของพวกเขา อีเมลประเภทนี้มักถูกเรียกว่า “Triggered Emails” เนื่องจากจะถูกส่งออกไป ตามการกระทำของลูกค้า และตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในเส้นทางของลูกค้ากับแบรนด์ (Customer Lifecycle)
Lifecycle Emails ช่วยให้ธุรกิจสามารถ สื่อสารกับลูกค้าได้ตรงจุด และเพิ่มโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ
อีเมลเตือนลูกค้าเกี่ยวกับตะกร้าสินค้าที่ถูกละทิ้ง
อัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70% ซึ่งหมายความว่ามีรายได้จำนวนมากที่ยังไม่ได้ถูกแปลงเป็นยอดขาย แต่โชคดีที่คุณสามารถดึงลูกค้าบางส่วนกลับมาได้
อีเมลแจ้งเตือนตะกร้าสินค้าที่ถูกละทิ้ง (Abandoned Cart Emails) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็วที่สุดในอีคอมเมิร์ซ โดยร้านค้าสามารถ กู้คืนยอดขายที่สูญเสียไปได้ประมาณ 5% - 11%
ลองเพิ่ม แรงจูงใจพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อ เช่น ข้อเสนอจัดส่งฟรี หรือส่วนลดพิเศษ แต่ต้องระวังไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าควรละทิ้งตะกร้าทุกครั้งเพื่อรอรับส่วนลด อย่างน้อยที่สุด ข้อความในอีเมลควรเน้นประโยชน์ของสินค้าที่ลูกค้ากำลังคิดจะซื้อ และกระตุ้นให้พวกเขากลับมาที่ร้านพร้อมกับบัตรเครดิตในมือ
ตัวอย่างเช่น Rudy’s Barbershop ใช้ อีเมลแจ้งเตือนตะกร้าสินค้าที่ถูกละทิ้ง พร้อมเสนอ จัดส่งฟรีในเวลาจำกัด เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาทำรายการให้เสร็จสมบูรณ์

วิธีปรับปรุงอีเมลแจ้งเตือนตะกร้าสินค้าที่ถูกละทิ้ง
- ใช้ข้อความหลักในรูปแบบตัวอักษร (Text Format) เพื่อให้ลูกค้าเห็นได้ทันทีโดยไม่ต้องเปิดใช้งานรูปภาพ และอย่าลืมใส่ ลิงก์กลับไปยังตะกร้าสินค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำรายการต่อได้อย่างง่ายดาย
- แสดงภาพสินค้าที่ลูกค้าเพิ่มลงตะกร้า เพื่อเตือนว่าพวกเขาเกือบจะสั่งซื้อแล้ว ควรเน้นเหตุผลที่ทำให้สินค้าน่าสนใจ เช่น คุณสมบัติเด่นและรูปภาพสินค้าคุณภาพสูง เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้ออีกครั้ง
- สื่อสารแรงจูงใจที่ชัดเจน เช่น จัดส่งฟรี หรือส่วนลดพิเศษ หากสินค้ากำลังจะหมด ควรแจ้งให้ลูกค้าทราบเพื่อเพิ่ม ความเร่งด่วนในการตัดสินใจซื้อ
- ใช้ Call to Action (CTA) ที่ชัดเจนและดึงดูดใจ ข้อความควร กระชับ ตรงประเด็น และมีเพียง CTA เดียว เพื่อลดสิ่งรบกวนที่อาจทำให้ลูกค้าไขว้เขวจากการทำรายการซื้อให้เสร็จสิ้น
ซีรี่ส์อีเมลต้อนรับ
Welcome Emails คืออีเมลที่ลูกค้าได้รับเมื่อสมัครรับข่าวสารจากร้านค้าออนไลน์
จากการศึกษาของ GetResponse พบว่า อีเมลต้อนรับมีอัตราการเปิดเฉลี่ยสูงถึง 90.09% และ CTR เฉลี่ยที่ 27.06% ซึ่งสูงกว่าอีเมลการตลาดทั่วไป นอกจากนี้ ระบบอัตโนมัติสำหรับอีเมลต้อนรับยังสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าอีเมลโปรโมชั่นทั่วไป 3-6 เท่า
ตัวอย่างเช่น Fulton แบรนด์รองเท้าและแผ่นรองพื้นรองเท้า ใช้ Welcome Email Series โดยเสนอ ส่วนลด 10% พร้อมจัดส่งฟรีและคืนสินค้าฟรี อีเมลนี้ถูกส่ง ทันทีหลังจากที่ลูกค้าสมัครรับอีเมลของแบรนด์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อครั้งแรก

วิธีปรับปรุงอีเมลต้อนรับ
- ให้คุณค่าทันที อย่ามุ่งเน้นแต่การขายในช่วงเวลาที่คุณมีโอกาสสร้างความประทับใจแรก มอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ผ่านข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือข้อเสนอพิเศษแทน
- ส่งอีเมลต้อนรับภายในไม่กี่นาที หากคุณใช้ ส่วนลด 10% เป็นแรงจูงใจในการสมัครรับข่าวสาร ลูกค้าที่ต้องการซื้อทันทีอาจพลาดโอกาสใช้ส่วนลดหากพวกเขาไม่ได้รับอีเมลเร็วพอ ซึ่งอาจทำให้คุณเสียยอดขายไปอย่างถาวร
- ตั้งความคาดหวังให้ชัดเจน แจ้งให้สมาชิกทราบว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าการรับอีเมลได้ง่าย บอกให้รู้ว่าคุณจะส่งอะไรให้บ้างและบ่อยแค่ไหน รวมถึงเตือนพวกเขาว่า ทำไมพวกเขาถึงได้รับอีเมลจากคุณ เพื่อสร้างความมั่นใจและลดโอกาสที่อีเมลของคุณจะถูกมองว่าเป็นสแปม
อีเมลกระตุ้นการสั่งซื้อซ้ำ
สมมติว่าคุณขายวิดีโอเกม คุณอาจสังเกตเห็นว่าโดยเฉลี่ยแล้ว หลังจากลูกค้าซื้อเครื่องเล่นเกมไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ 20% ของพวกเขาจะกลับมาซื้อจอยคอนโทรลเลอร์เพิ่ม แต่มีอีก 50% ที่ไม่กลับมาซื้ออะไรเลย
เพื่อเพิ่มอัตราการสั่งซื้อซ้ำจาก 20% เป็น 70% คุณสามารถออกแบบแคมเปญอีเมลสำหรับลูกค้าใหม่หรือกระตุ้นการสั่งซื้อครั้งที่สอง เมื่อมีการสั่งซื้อเครื่องเล่นเกม ระบบจะส่งอีเมลอัตโนมัติไปหาลูกค้าภายในหนึ่งสัปดาห์ โดยนำเสนอจอยคอนโทรลเลอร์ที่เข้าชุดกัน
วิธีนี้ต้องเริ่มจากการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า และแบ่งกลุ่มข้อมูลใน Google Analytics บางคนอาจซื้อจอยพร้อมเครื่องตั้งแต่แรก แต่ยังมีอีกกลุ่มใหญ่ที่ยังไม่ได้ซื้อ นี่คือโอกาสที่คุณสามารถใช้เพื่อเพิ่มยอดขาย

วิธีปรับปรุงอีเมลกระตุ้นการสั่งซื้อซ้ำ
- เริ่มจากสินค้าขายดี 2-3 รายการ ลองดูว่าสินค้าขายดีของคุณมีสินค้ารายการไหนที่สามารถจับคู่ขายร่วมกันได้หรือไม่
- ใช้เทคนิคส่วนลดแบบขั้นบันได (Discount Ladder) ในกรณีนี้ คุณสามารถเริ่มต้นด้วยการแนะนำสินค้าที่เข้ากันได้ หรือจะลองเสนอส่วนลดพิเศษสำหรับสินค้านั้นก็ได้ นอกจากนี้ คุณสามารถใช้เทคนิคส่วนลดแบบขั้นบันได เช่น เสนอส่วนลด 5% ก่อน หากลูกค้ายังไม่ซื้อ อาจเพิ่มเป็น 10% และ 15% ตามลำดับ
- ทดสอบแคมเปญโดยใช้ข้อมูลของคุณเอง ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวสำหรับสินค้าขายดีหรือสินค้าที่เหมาะจะขายคู่กัน รวมถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการส่งอีเมล คุณต้องทดลองและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญเพื่อหากลยุทธ์ที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ
อีเมลกระตุ้นการกลับมาซื้อซ้ำ
แคมเปญอีเมล Win-back ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดลูกค้าที่ห่างหายไปให้กลับมาซื้อสินค้าอีกครั้ง
ตัวอย่างเช่น หากโดยปกติลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าครั้งที่สองภายใน 45 วัน แต่หากเกินระยะเวลานี้ไปแล้วและลูกค้ายังไม่มีการสั่งซื้อเพิ่ม ก็มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะไม่กลับมาซื้ออีก
หรือในกรณีที่คุณมีลูกค้าขาประจำที่ซื้อสินค้าทุกๆ 45 วันมานานกว่า 6 เดือน แต่ช่วงหลังลูกค้าคนนี้เงียบหายไป ไม่มีการสั่งซื้อมานาน 44 วัน แคมเปญ Win-back จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ โดยระบบจะส่งอีเมลอัตโนมัติออกไปหลังจากไม่มีการซื้อสินค้าครบ 45 วัน เพราะคุณรู้ว่าตามพฤติกรรมปกติของลูกค้า การไม่มีคำสั่งซื้อนานขนาดนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ผิดปกติ
ตัวอย่างจากแบรนด์ Outdoor Voices พวกเขาใช้กลยุทธ์กระตุ้นลูกค้าเก่าด้วยการเสนอเครดิต $20 สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่มียอดรวมมากกว่า 30,000 บาท เพื่อจูงใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

วิธีปรับปรุงอีเมล Win-back
- ทดสอบแต่เนิ่นๆ เพื่อลดการสูญเสียยอดขาย ใช้การทดสอบ A/B เพื่อหาข้อเสนอที่ได้ผลดีที่สุดโดยไม่ต้องให้ส่วนลดมากเกินไป ลองดูว่าคุณสามารถเสนอส่วนลด 5% แทน 10% ได้หรือไม่ หรือ 10% แทน 15% เพื่อเพิ่มโอกาสในการกระตุ้นการซื้อโดยไม่เสียกำไรมากเกินไป
- หลังจาก 90 วัน การดึงลูกค้ากลับมาจะยากขึ้น หากลูกค้าไม่มีการซื้อสินค้านานเกิน 3 เดือน โอกาสที่พวกเขาจะกลับมาซื้อลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ระยะเวลานี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับธุรกิจของคุณ บางอุตสาหกรรมมีรอบการซื้อที่ยาวกว่าเป็นปกติ ดังนั้นควรวิเคราะห์ข้อมูลของคุณเอง แต่โดยทั่วไป เมื่อครบ 90 วัน คุณอาจเริ่มเห็นอัตราการตอบกลับลดลงอย่างชัดเจน
อีเมลแนะนำเพื่อน
อีเมลแนะนำเพื่อนเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในการกระจายข่าวเกี่ยวกับแบรนด์และข้อเสนอพิเศษของตน งานวิจัยระบุว่าผู้บริโภคเกือบ 90% ให้ความไว้วางใจกับคำแนะนำจากคนที่พวกเขารู้จัก มากกว่าบทรีวิวออนไลน์หรือโฆษณาทั่วไป
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ MeUndies ใช้แคมเปญ Referral โดยเสนอคูปองส่วนลด 20% ให้กับลูกค้าใหม่ที่ได้รับการแนะนำจากเพื่อน และในขณะเดียวกัน ลูกค้าที่แนะนำก็จะได้รับเครดิต 700 บาทต่อการแนะนำที่มียอดการซื้อ

การใช้กลยุทธ์เช่นนี้ช่วยสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าปัจจุบันมีส่วนร่วมในการขยายฐานลูกค้า พร้อมทั้งกระตุ้นยอดขายไปในตัว
วิธีปรับปรุงอีเมลแนะนำเพื่อน
- ใช้หัวเรื่อง (Subject Line) ที่ดึงดูดและชัดเจน หัวเรื่องต้องกระชับและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้รับอีเมลเห็นได้ทันทีว่าคุณกำลังเสนออะไร การเพิ่มการปรับแต่ง (Personalization) เช่น การใช้ชื่อของลูกค้า จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและอัตราการเปิดอีเมล
- มอบแรงจูงใจที่คุ้มค่า แรงจูงใจที่ดีมีผลอย่างมากต่อความสำเร็จของแคมเปญแนะนำเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นคูปองส่วนลด การทดลองใช้ฟรี หรือของสมนาคุณ สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ให้มาทำความรู้จักกับแบรนด์ของคุณได้ง่ายขึ้น
อีเมลสำรวจความคิดเห็นจากลูกค้า
ความคิดเห็นจากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ อีเมลสำรวจช่วยให้คุณรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ซึ่งสามารถใช้เพื่อดึงดูดและรักษาลูกค้าได้
หากคุณกำลังคิดจะขยายธุรกิจหรือเพิ่มสินค้าและบริการใหม่ ลองส่งแบบสำรวจเพื่อดูว่าลูกค้าสนใจอะไร นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้แบบสำรวจเพื่อตรวจสอบว่าลูกค้าของคุณชื่นชอบแบรนด์คู่แข่งแบรนด์ใด และเหตุผลที่พวกเขาชอบ
ข้อดีของอีเมลสำรวจคือคุณสามารถถามคำถามอะไรก็ได้ที่อยากรู้เกี่ยวกับลูกค้าของคุณ
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Handy ใช้แบบสำรวจที่เรียบง่ายเพียงคำถามเดียวและนำเสนอในรูปแบบที่สนุก เพื่อดูว่าบริการทำความสะอาดประเภทใดเป็นที่ต้องการมากที่สุด ด้วยข้อมูลนี้ Handy สามารถออกโปรโมชั่นที่เหมาะสม หรือเพิ่มบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น

วิธีปรับปรุงอีเมลสำรวจความคิดเห็น
- ใช้หัวข้ออีเมลที่ดึงดูดและน่าสนุก หัวข้อควรมีคำที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำ (Action Words) และใช้ข้อความที่เป็นมิตร เชิญชวนให้ลูกค้าร่วมตอบแบบสำรวจ
- แจ้งระยะเวลาที่ใช้และสิ่งตอบแทนที่ลูกค้าจะได้รับ บอกให้ชัดเจนว่าแบบสำรวจใช้เวลานานแค่ไหน อาจเป็นเพียงคำถามเดียวหรือใช้เวลาหลายนาที และควรเสนอสิ่งจูงใจที่เหมาะสมกับเวลาที่ลูกค้าต้องเสียไป เช่น ส่วนลด คูปอง หรือของสมนาคุณ
- สร้างความเร่งด่วน การกำหนดระยะเวลาสำหรับแบบสำรวจจะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกค้าผลัดวันประกันพรุ่ง และช่วยให้คุณได้รับข้อมูลที่ต้องการในเวลาที่เหมาะสม
ทำไม Email Marketing ถึงเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในอีคอมเมิร์ซ
ความจริงเกี่ยวกับทราฟฟิกเว็บไซต์ก็คือ ไม่ว่าคุณจะดึงดูดผู้เข้าชมได้ตรงกลุ่มแค่ไหน ส่วนใหญ่แล้ว ผู้เยี่ยมชมใหม่จะไม่กลับมาอีกเลย การสร้างลิสต์อีเมลและส่งแคมเปญอีเมลที่น่าสนใจจะช่วยให้คุณรักษาทราฟฟิกที่คุณพยายามดึงเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากร้านค้าออนไลน์ของคุณยังไม่ได้ใช้กลยุทธ์อีเมลมาร์เก็ตติ้ง อาจเป็นไปได้ว่าคุณกำลังพลาดโอกาสในการเพิ่มยอดขาย นี่คือ 4 เหตุผลที่คุณควรลองใช้อีเมลเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซ
อีเมลช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าการใช้เสิร์ชเอนจินและโซเชียลมีเดียจะช่วยให้ธุรกิจของคุณถูกค้นพบโดยลูกค้าใหม่ แต่อีเมลยังคงเป็นช่องทางที่ดีที่สุดในการรักษาและเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิมในระยะยาว
ข้อมูลจาก Constant Contact ระบุว่าอัตราการเปิดอีเมลเฉลี่ยอยู่ที่ 33.02%, อัตราการคลิก (Click-through rate) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.37% และอัตราการดีดกลับของอีเมล (Bounce rate) อยู่ที่ 10.07%
นอกจากนี้ อีเมลยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหลายธุรกิจ เพราะช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยในการหาลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition Cost) ได้
อีเมลเป็นช่องทางที่ทรงพลังในการเพิ่มยอดขาย
แม้ว่าธุรกิจและสินค้าบางประเภทจะเหมาะกับอีเมลมาร์เก็ตติ้งมากกว่าธุรกิจอื่น และผลลัพธ์อาจไม่การันตี 100% แต่จากการวิจัยหลายปีให้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกัน อีเมลเป็นช่องทางที่ให้ผลลัพธ์สูง และมักมีประสิทธิภาพมากกว่าช่องทางอื่น
ข้อมูลจาก Shopify แสดงให้เห็นว่า ในช่วง Black Friday Cyber Monday อีเมลเป็นช่องทางที่มีอัตราการเปลี่ยนเป็นยอดสั่งซื้อสูงที่สุด
นอกจากนี้ Campaign Monitor ยังระบุว่า 64% ของธุรกิจขนาดเล็กใช้ช่องทางอีเมลเป็นเครื่องมือหลักในการหาลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเดิม อีเมลมาร์เก็ตติ้งเป็นหนึ่งในเครื่องมือไม่กี่อย่างที่สามารถช่วยปิดการขายครั้งแรก และในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มรายได้จากกลุ่มลูกค้าที่มีมูลค่าสูงสุดของธุรกิจ
อีเมลช่วยกระตุ้น 3 ปัจจัยสำคัญในการเติบโตของธุรกิจ
เจ้าของธุรกิจหลายคนที่มองหาวิธีดึงดูดลูกค้าแบบ “ทางลัด” มักต้องผิดหวัง เพราะต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่สามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นักการตลาด Jay Abraham เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญในการเพิ่มรายได้เป็นที่รู้จัก โดยสรุปว่ามีเพียง 3 วิธีหลักในการเติบโตของธุรกิจ ได้แก่ เพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ (C – Customer Growth), เพิ่มจำนวนครั้งที่ลูกค้าซื้อสินค้า (F – Purchase Frequency)และเพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยต่อครั้ง (AOV – Average Order Value)
อีเมลมาร์เก็ตติ้ง เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยลดการพึ่งพาการหาลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง (Acquisition Rat Race) เพราะสามารถส่งผลต่อ ทั้ง 3 ปัจจัยการเติบโต ได้ในเวลาเดียวกัน
- อีเมลต้อนรับและอีเมลแจ้งเตือนสินค้าค้างในตะกร้า ช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (C – Conversion Rate)
- แคมเปญ Win-back หรือ Bounce-back ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ เพิ่มความถี่ในการซื้อ (F – Purchase Frequency)
- อีเมลตามช่วงเวลา (Lifecycle Campaigns) และการส่งอีเมลโปรโมชัน สามารถแนะนำสินค้าที่มีมูลค่าสูงให้กับลูกค้าที่เหมาะสม เพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยต่อครั้ง (AOV – Average Order Value)
การให้ความสำคัญกับ ทั้ง 3 ปัจจัยนี้อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ผลลัพธ์ของธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมการสร้าง กลยุทธ์อีเมลมาร์เก็ตติ้งสำหรับอีคอมเมิร์ซ อย่างจริงจังจึงคุ้มค่าเมื่อต้องการขยายธุรกิจ
อีเมลไม่ถูกควบคุมโดยแพลตฟอร์มบุคคลที่สาม
อีเมลไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัลกอริธึมของแพลตฟอร์มกลาง ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโดยไม่คาดคิดและส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การกระจายคอนเทนต์ของธุรกิจ
ในทางตรงกันข้ามการเข้าถึงแบบออร์แกนิกของเพจ Facebook ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2018 เนื่องจากแพลตฟอร์มมุ่งเน้นไปที่การแสดงเนื้อหาจากเพื่อนและครอบครัวมากขึ้น
นอกจากนี้ การติดอันดับบน Google ก็ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการแสดงโฆษณาและกล่องคำตอบ (Answer Boxes) เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการค้นหาที่ไม่มีการคลิก (No-click searches) โดยเฉพาะบนมือถือ
ปัจจุบัน หากต้องการเข้าถึงลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ คุณอาจต้องจ่ายเงินมากขึ้นและต้นทุนโฆษณาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่อีเมลยังคงเป็นช่องทางที่คุณสามารถควบคุมได้เองแบบเต็มที่
พัฒนากลยุทธ์ Email Marketing สำหรับอีคอมเมิร์ซ
1. เลือกผู้ให้บริการอีเมล (ESP)
มีบริการอีเมลมาร์เก็ตติ้งที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและคุ้มค่าหลายตัวให้เลือกใช้ ดังนั้นอย่าหมกมุ่นกับการเลือกตัวที่ "สมบูรณ์แบบ" เพราะคุณสามารถเปลี่ยนผู้ให้บริการได้ในอนาคต
แทนที่จะมุ่งเน้นที่การหาผู้ให้บริการที่ดีที่สุด ให้เลือก ESP ที่ได้รับรีวิวดี และเหมาะกับความต้องการของคุณ (เช่น ราคา, เครื่องมือการแก้ไขแบบลากและวาง, เทมเพลตอีเมล ฯลฯ) จากนั้นเริ่มส่งอีเมลและกระตุ้นยอดขายได้เลย
สำหรับลูกค้า Shopify Email จะถูกติดตั้งไว้ในร้านค้า Shopify ของคุณ ทำให้การสร้าง, ส่ง, และเชื่อมต่อกับลูกค้าเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว
Klaviyo, Privy, และ Omnisend เป็นแอปยอดนิยมที่สามารถเชื่อมต่อกับ Shopify และทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ลองดูรายการแอปอีเมลที่เราแนะนำใน Shopify App Store
2. เริ่มสร้างรายชื่ออีเมลของคุณ
หากคุณถามเจ้าของธุรกิจออนไลน์เกี่ยวกับความเสียดายที่ใหญ่ที่สุดในการตลาด หลายคนจะบอกว่าคือการที่พวกเขาไม่ได้เริ่มลิสต์อีเมลตั้งแต่วันแรก เรียนรู้จากข้อผิดพลาดนี้และเริ่มสร้างรายชื่อผู้ติดตามของคุณโดยเร็วที่สุด แม้กระทั่งก่อนที่คุณจะเปิดตัวธุรกิจ
สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก่อนเริ่มสร้างรายชื่ออีเมลคือ คุณต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ที่สนใจเพื่อให้คุณสามารถติดต่อลูกค้าหรือผู้มีแนวโน้มเป็นลูกค้าในระยะยาว การทำให้ผู้ติดตาม “ยินยอมรับข้อมูล” จากคุณเป็นสิ่งจำเป็น และมีหลายวิธีที่คุณสามารถกระตุ้นให้พวกเขาทำเช่นนั้น
วิธีการสร้างรายชื่ออีเมลอย่างรวดเร็ว
ในวิดีโอนี้เราจะพูดถึง 6 กลยุทธ์ ที่คุณสามารถใช้ในการสร้างรายชื่ออีเมลอย่างรวดเร็วและฟรี แม้ว่าคุณจะเริ่มต้นจากศูนย์ วิธีสร้างรายชื่ออีเมล (บทแนะนำการตลาดผ่านอีเมล)
ตั้งค่าหน้าก่อนเปิดตัว (Pre-launch Page)
แม้ว่าการทดสอบความต้องการผลิตภัณฑ์จริงจะต้องมีลูกค้าที่จ่ายเงิน แต่รายชื่ออีเมลที่มีลูกค้าเป้าหมายที่มีส่วนร่วมถือเป็นสิ่งสำคัญที่รองลงมา
ตั้งค่าหน้าลงทะเบียนบนโดเมนของคุณ เชิญชวนให้ผู้เยี่ยมชมกรอกอีเมลเพื่อรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้า และหลีกเลี่ยงการทำให้ดูเหมือนขอความช่วยเหลือ เขียนข้อความที่อธิบายถึงสิ่งที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับสินค้าที่กำลังจะเปิดตัว และเสนอแรงจูงใจที่ดึงดูดให้กับผู้ที่เข้าร่วมตั้งแต่แรก เช่น ลูกค้าที่ซื้อสินค้าตั้งแต่วันแรกจะได้รับส่วนลด 20% ในวันเปิดตัว
เก็บอีเมลจากการขายและบัญชีลูกค้า
บัญชีลูกค้ามีค่าอย่างมากต่อธุรกิจ เนื่องจากทำให้ลูกค้าต้องแชร์ข้อมูลที่สำคัญ เช่น ที่อยู่อีเมล และยังช่วยให้การติดตามประวัติการซื้อเป็นเรื่องง่ายขึ้น
ให้ตัวเลือกในการสร้างบัญชีหลังจากลูกค้าทำการสั่งซื้อครั้งแรก หากคุณใช้ Shopify บัญชีลูกค้าเป็นตัวเลือกเสริม และคุณสามารถส่งคำเชิญโดยตรงให้ลูกค้ากระตุ้นการเปิดใช้งานบัญชีหลังจากที่พวกเขาทำการซื้อเสร็จสิ้น
วางฟอร์มการสมัครในหลายจุดบนเว็บไซต์
เพื่อเพิ่มรายชื่ออีเมล คุณต้องขอให้ผู้คนสมัครโดยตรง ดังนั้นสถานที่ที่ดีที่สุดในการขอสมัครคือในหน้าเว็บที่ผู้เยี่ยมชมของคุณกำลังมีส่วนร่วมอยู่แล้วในร้านค้าออนไลน์ แต่ต้องระวังไม่ให้ฟอร์มสมัครรบกวนการออกแบบของเว็บไซต์และทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกไม่ดีในครั้งแรกที่เห็น
ลองวางฟอร์มการสมัครในตำแหน่งเหล่านี้ก่อน
- หัวข้อ, เมนูนำทาง, หรือส่วนท้ายของเว็บไซต์ แม้ว่าตำแหน่งเหล่านี้อาจมีอัตราการแปลงที่ต่ำกว่าหน้าลงทะเบียนเฉพาะทาง แต่เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้ติดตามที่ได้จากการวางฟอร์มเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น
- หน้าเกี่ยวกับเรา (About Us) หากหน้าเกี่ยวกับเราของคุณทำหน้าที่ในการขายวิสัยทัศน์ของบริษัทได้ดี นี่เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการกระตุ้นให้ลูกค้าสมัครสมาชิก
- บล็อกหรือหน้าแหล่งข้อมูล ฟอร์มสมัครสมาชิกที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในเนื้อหาของบล็อกหรือในแถบข้าง (sidebar) สามารถช่วยให้ลูกค้าก้าวไปสู่ขั้นตอนถัดไปได้
- ฟอร์มป๊อปอัพ ฟอร์มป๊อปอัพที่แสดงขึ้นเมื่อผู้เยี่ยมชมกำลังจะออกจากเว็บไซต์ (Exit-intent pop-ups) จะปรากฏเมื่อผู้เยี่ยมชมย้ายเมาส์ไปที่แถบค้นหาหรือปุ่มย้อนกลับ ทำให้คุณมีโอกาสอีกครั้งในการเก็บอีเมลของพวกเขา ลองใช้แอปอย่าง Privy หรือ Justuno ใน Shopify App Store เพื่อสร้างป๊อปอัพของคุณ
เร่งการสมัครสมาชิกด้วย Lead Magnets
ธุรกิจออนไลน์หลายรายมักคิดว่าแค่การรับจดหมายข่าว (Newsletter) ก็เป็นเหตุผลที่น่าสนใจเพียงพอสำหรับการสมัครสมาชิก แต่การตลาดคือการสื่อสารและการวัดผล และข้อความ “รับอีเมลสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง” ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจเท่าไหร่นัก
ดังนั้น เพื่อเพิ่มแรงจูงใจ ลองสร้างข้อเสนอที่เป็นแรงจูงใจเพิ่มเติม ให้ผู้เยี่ยมชมสมัครสมาชิกและแชร์อีเมล โดยด้านล่างนี้คือตัวอย่างที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าใช้ได้ผล
- เสนอข้อเสนอและส่วนลดพิเศษ ส่วนลดมักจะเป็นการตัดสินใจทางการเงินที่ดี ถ้าช่วยให้คุณสามารถรักษาลูกค้าที่จะสูญเสียไปอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจที่ดีในการให้ลูกค้าทิ้งอีเมล
- จัดการประกวดหรือชิงโชค ถึงแม้ว่าเกมการประกวดอาจดึงดูดผู้สมัครได้จำนวนมาก แต่ข้อเสียที่เกิดขึ้นคือคนที่คุณดึงดูดจะเป็นคนที่มองหาของฟรี ใช้แอปประกวดเพื่อดึงดูดความสนใจหรือเริ่มต้นรายชื่อของคุณ แต่ไม่ควรพึ่งพาแคมเปญนี้ในการสร้างกลุ่มผู้ติดตามที่มีส่วนร่วมในระยะยาว
- ให้การเข้าถึงเนื้อหาการศึกษา สร้างเนื้อหาฟรีที่มีคุณค่าและสามารถนำไปใช้ได้ทันทีสำหรับลูกค้าเป้าหมายของคุณ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขามีความคิดที่จะซื้อสินค้า เนื้อหาที่เปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้าที่ดีที่สุดมักเสนอสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมสามารถนำไปใช้ได้ทันทีและแสดงให้เห็นถึงช่องว่างที่ผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถเติมเต็มได้
ขออีเมลจากลูกค้าโดยตรง
หากคุณขายผลิตภัณฑ์หากคุณขายสินค้าผ่านร้าน Pop-up รับคำสั่งซื้อจากเพื่อน หรือมีหน้าร้านจริง คุณจะพบโอกาสมากมายในการขออีเมลจากลูกค้าโดยตรง
แนวคิดเดียวกันนี้ใช้ได้กับการกระตุ้นการทำกิจกรรมในโลกจริง เช่น การแทรกการ์ดในบรรจุภัณฑ์หรือการ์ดเล็กๆ ที่ส่งพร้อมกับคำสั่งซื้อ ซึ่งอาจรวมถึงส่วนลดหรือข้อเสนอสำหรับลูกค้าที่กลับมาที่ร้าน หรือคุณสามารถใช้ QR code ที่เมื่อสแกนแล้วจะพาลูกค้าไปยังหน้าลงทะเบียนบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ
3. ส่งอีเมลอย่างถูกกฎหมาย
ความสัมพันธ์ที่คุณสร้างกับรายชื่ออีเมลของคุณต้องมีพื้นฐานมาจากการขออนุญาต ไม่เพียงแค่จากมุมมองการตลาด แต่ยังรวมถึงมุมมองทางกฎหมายด้วย
การโปรโมทผ่านอีเมลเป็นตัวอย่างของ “Permission Marketing” ซึ่งเป็นคำที่ Seth Godin นักการตลาดและผู้เขียนหนังสือขายดี ได้สร้างขึ้น หมายถึงผู้คนสามารถเลือกเข้าร่วม หรือออกจากความสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณตามที่ต้องการ และหากคุณละเลยกฎหมาย คุณอาจเผชิญกับค่าปรับที่ร้ายแรง
คำชี้แจง: ข้อมูลที่แชร์ในคู่มือนี้เป็นเพียงข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย หากคุณมีคำถามเฉพาะเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายในการส่งอีเมล โปรดปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญในด้านนี้
วิธีติดตามผลการตลาดอีเมลสำหรับอีคอมเมิร์ซ
การติดตามผลของแคมเปญอีเมลมาร์เก็ตติ้งจะช่วยให้คุณสามารถวัดประสิทธิภาพและปรับปรุงกลยุทธ์ให้ดีขึ้นเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นี่คือขั้นตอนสำคัญในการติดตามผลการตลาดอีเมล
1. ขนาดและการเติบโตของลิสต์อีเมล
ยิ่งรายชื่ออีเมลของคุณใหญ่เท่าไหร่ คุณก็ยิ่งสามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น ติดตามเมตริกนี้โดยใช้ผู้ให้บริการอีเมลของคุณเพื่อดูว่าคุณได้เพิ่มผู้ติดตามใหม่มากน้อยแค่ไหนในแต่ละสัปดาห์หรือเดือน หรือระหว่างการส่งอีเมลแคมเปญล่าสุด
2. อัตราการเปิดและอัตราการคลิก
อัตราการเปิด (Open rate) คือเปอร์เซ็นต์ที่บอกคุณว่าอีเมลที่ส่งสำเร็จในแคมเปญมีจำนวนเท่าไรที่ถูกเปิดโดยผู้ติดตาม อัตราการเปิดที่มาตรฐานอยู่ระหว่าง 20% ถึง 33% โดยอัตราการเปิดมักจะสูงขึ้นเมื่อคุณเริ่มต้นทำการตลาด
อัตราการคลิก (Click-through rate) คือเปอร์เซ็นต์ที่บอกคุณว่าอีเมลที่ส่งสำเร็จในแคมเปญมีจำนวนเท่าไรที่คลิกบนลิงก์หรือปุ่มในอีเมล อัตราการคลิกที่มาตรฐานมักจะสูงกว่าค่าการแปลงของร้านค้าออนไลน์ 2-3 เท่า โดยเฉลี่ยแล้วอัตราการคลิกอยู่ที่ ประมาณ 3% ตามข้อมูลจาก Mailchimp
แม้อัตราการเปิดและอัตราการคลิกจะวัดพฤติกรรมที่ต่างกัน แต่ทั้งสองอย่างร่วมกันจะบอกคุณเกี่ยวกับความน่าสนใจของอีเมลของคุณ เมื่อข้อมูลไม่สมดุล เช่น หากมีคนเปิดอีเมลจำนวนมากแต่ไม่คลิกที่การกระทำที่ต้องการ คุณจะเห็นจุดที่ควรปรับปรุง
เรียนรู้เพิ่มเติม: 20 วิธีทำ Email Marketing ที่ดีที่สุด เพื่อเปลี่ยนแคมเปญให้เป็นยอดขาย
3. อัตราการส่งและคุณภาพของลิสต์อีเมล
การกระโดดแบบฮาร์ดบาวน์คืออีเมลที่ถูกส่งกลับไปยังผู้ส่งเพราะที่อยู่อีเมลไม่ถูกต้อง อัตราการกระโดดแบบฮาร์ดบาวน์ที่ดีคือไม่เกิน 2%
ตัวกรองสแปมค่อนข้างตรงไปตรงมา มีรายการปัจจัยมากมายที่อีเมลจะถูกให้คะแนน หากคะแนนของอีเมลสูงเกินไป ระบบอีเมลจะทำเครื่องหมายว่าเป็นสแปม
โดยทั่วไปแล้ว คุณควรหลีกเลี่ยงการทำสิ่งเหล่านี้
- การใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด เครื่องหมายตกใจและคำที่กระตุ้น เช่น “ฟรี”
- การใช้ภาพขนาดใหญ่ที่มีข้อความน้อย เพราะตัวกรองสแปมหลายตัวไม่สามารถจำภาพได้
- การส่งอีเมลไปยังรายชื่อเก่าที่คุณไม่ได้ดูแลอย่างเหมาะสม
ตัวกรองสแปมของมนุษย์ซับซ้อนยิ่งขึ้น หากคุณถูกรายงานว่าเป็นผู้ส่งสแปมบ่อยๆ จะทำให้การส่งอีเมลของคุณไปยังผู้สมัครทั้งหมดลดลง
หลีกเลี่ยงการซื้อรายชื่อหรือส่งอีเมลโดยไม่มีการอนุญาตชัดเจน, การไม่บอกเวลาในการส่งอีเมล, การซ่อนตัวเลือกยกเลิกการสมัครสมาชิก หรือทำให้กระบวนการยกเลิกการสมัครยากเกินความจำเป็น, หรือทิ้งรายชื่อที่ไม่ได้มีส่วนร่วมและไม่ได้ใช้งานบนรายชื่อของคุณ
4. ผลลัพธ์ AB Testing
AB Testing ช่วยให้คุณสามารถส่งอีเมลที่มีประสิทธิภาพสูงได้อย่างมั่นใจ โดยการทดสอบข้อความ การออกแบบ และคำกระตุ้นการกระทำกับกลุ่มผู้สมัครที่เล็กกว่าก่อน
AB Testing หมายถึงการแบ่งผู้รับออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม A, กลุ่ม B และกลุ่ม C หลังจากส่งอีเมลสองเวอร์ชันให้กับกลุ่ม A และ B แล้ว คุณจะใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์เพื่อพิจารณาว่าข้อความไหนที่ทำงานได้ดีกว่า โดยการสร้างการมีส่วนร่วม หรือยอดขายมากกว่า จากนั้นคุณจะส่งเวอร์ชันที่ชนะ ไม่ว่าจะเป็น A หรือ B ไปยังกลุ่มผู้รับสุดท้าย (C)
5. รายได้
เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมของร้านค้าของคุณที่สามารถนำมาจากการตลาดผ่านอีเมลคือเท่าไร? ในคอร์สของ Shopify Academy ซีอีโอของ AutoAnything, Drew Sanocki กล่าวว่าเขาได้เห็นร้านค้าที่ประสบความสำเร็จหลายแห่งที่ได้รับรายได้ประมาณ 20% จากช่องทางอีเมลของพวกเขา
มูลค่าของการใช้เกณฑ์การวัดผลด้วย Green Light
การติดตามผลการดำเนินงานของการตลาดในช่องทางใดช่องทางหนึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การให้ความสำคัญกับเมตริกของการตลาดผ่านอีเมลมากเกินไปอาจทำให้คุณหลงทางได้ง่าย
แทนที่จะทำเช่นนั้น ลองตั้งเป้าหมายไปที่ “เกณฑ์การวัดผลด้วย Green Light” แนวคิดที่สร้างขึ้นโดย Ramit Sethi เมื่อคุณถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (เช่น เกณฑ์ของ Sanocki ด้านล่าง) ให้ตัวเองไปข้างหน้าและเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ ๆ ได้
- อัตราการเปิดอีเมล 20% ซึ่งบ่งบอกว่าคุณกำลังส่งอีเมลที่เกี่ยวข้องไปยังคนที่ถูกต้อง พร้อมหัวข้อที่น่าสนใจ
- อัตราการคลิกผ่าน 5% ซึ่งบ่งบอกว่าเนื้อหาและข้อเสนอในอีเมลของคุณน่าสนใจพอที่จะคลิก
- 20% ของรายได้รวมของร้านค้าจากการตลาดผ่านอีเมล ซึ่งบ่งบอกว่าการตลาดผ่านอีเมลในช่องทางนี้สามารถเปลี่ยนลูกค้าที่มาใหม่ให้เป็นลูกค้าประจำและสามารถขายเพิ่มให้ลูกค้าเดิมได้พอที่จะสมควรลงทุนต่อไป
โบนัสทิปส์: Drew Sanocki ยังได้สร้างเทมเพลตฟรีที่ง่ายสำหรับการติดตามผลการดำเนินงานของแคมเปญการตลาดอีเมลเริ่มต้นของคุณ
อัพเลเวล Email Marketing ด้วย “วงจรออโต้เมชั่น”
ข้อความการตลาดผ่าน Email จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบัน โดยเราสามารถทำได้ด้วย RFM ซึ่งเป็นคำในตลาดฐานข้อมูลที่ช่วยในการกำหนดกลุ่มลูกค้า
- ความถี่ล่าสุด คือจำนวนวันที่ผ่านมา ตั้งแต่การซื้อครั้งล่าสุดของสมาชิกหรือลูกค้า เช่น R0 ซื้อวันนี้ และ R365 ซื้อเมื่อปีที่แล้ว
- ความถี่ คือจำนวนครั้งทั้งหมดที่สมาชิกหรือลูกค้าทำการซื้อ เช่น F0 ไม่เคยสั่งซื้อเลย และ F10 สั่งซื้อ 10 ครั้ง
- มูลค่าเงิน คือยอดการใช้จ่ายทั้งหมดของลูกค้า ผลรวมของทุกการสั่งซื้อ
แม้ว่าจะมีจำนวนกลุ่มลูกค้ามากมายที่สามารถสร้างขึ้นตามพฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบัน แต่จะมีอยู่ 5 กลุ่มหลักที่คุณสามารถใช้ในการเริ่มต้น Lifecycle ของลูกค้า
กลุ่ม 1 สมาชิกใหม่
เป้าหมายของคุณกับสมาชิกใหม่คือการสร้างความไว้วางใจ แนะนำผลิตภัณฑ์ของคุณ และกระตุ้นให้พวกเขาทำการซื้อครั้งแรก กล่าวคือ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้พวกเขากลายเป็น F0 (ยังไม่ซื้อ) ไปสู่ F1 (ซื้อครั้งแรก)
กลุ่ม 2 ลูกค้าซื้อครั้งเดียว
เนื่องจากต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้าในระดับสูง ผู้ค้าส่วนใหญ่จะไม่มีกำไรจากการซื้อครั้งแรก (F1) และจะมีกำไรจริงๆ เมื่อมีการซื้อซ้ำ แต่หากคุณมองไปที่ลูกค้าทั้งหมดในปัจจุบัน คุณอาจพบว่า 80% ถึง 90% เป็นลูกค้าที่ซื้อครั้งเดียวและมีกำไรเล็กน้อย
การปรับปรุงในส่วนนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับคุณ อีเมลส่งกลับเป็นแคมเปญที่เหมาะสมในการดำเนินการ หรือแคมเปญที่มีข้อเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่เพิ่งซื้อ
กลุ่ม 3 ลูกค้าวีไอพี
ลูกค้าที่ทำการซื้อในจำนวนมากหรือต่อเนื่องมีมูลค่ามากและที่ดีไปกว่านั้น พวกเขามักไม่ต้องการส่วนลดเพื่อกลับมาซื้ออีกครั้ง
ในการดึงดูดลูกค้าเหล่านี้ ให้ใช้แคมเปญอีเมลที่ตรงเป้าหมาย เพื่อรักษาความสัมพันธ์และกระตุ้นให้พวกเขาซื้อสินค้าต่อไป โดยแสดงให้เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับธุรกิจของพวกเขา อาจเสนอโปรแกรมสะสมแต้มพิเศษ และอย่าลืมขอความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาอยากซื้อ เพื่อที่คุณจะได้ขายให้พวกเขาต่อไปในอนาคต
กลุ่ม 4 ลูกค้าที่เลิกซื้อ
ในขณะที่ลูกค้าเหล่านี้อาจเคยเป็นลูกค้าที่มีเคยสนใจสินค้าของคุณมาก แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขากลับไม่ใช่ลูกค้าของคุณแล้ว
เมื่อมีลูกค้าที่เริ่มห่างเหินและอาจไม่ซื้อสินค้าของคุณอีกเลย การเสนอส่วนลดเพื่อดึงพวกเขากลับมาอาจเป็นทางเลือกที่ดีทางการเงิน อีเมลที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มนี้คืออีเมลที่เรียกว่า "Win-back" ซึ่งควรมีข้อเสนอที่ดึงดูดสายตาพร้อมส่วนลดลึกๆ เพื่อดึงดูดให้พวกเขากลับมา
กลุ่ม 5 ลูกค้าที่ทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้า
เมื่อคุณเริ่มแคมเปญการติดตามการทิ้งสินค้าในตะกร้าแล้ว ให้ทดสอบชุดอีเมลที่ส่งออกไปในระยะเวลา 2 สัปดาห์ เริ่มจากการเตือนอย่างนุ่มนวลก่อน และหากไม่ได้ผล ให้เสนอสิ่งจูงใจที่มากขึ้น เช่น ส่วนลด คุณจะพบว่าหลายๆ ตะกร้าที่กลับมาจะกลับมาก่อนที่คุณจะต้องใช้ส่วนลด
ให้ Email Marketing ทำยอดขายให้คุณ คลิกส่งเลย!
หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของอีเมลมาร์เก็ตติ้งประเภทนี้คือเป็นช่องทางที่มีความเสี่ยงต่ำในการเริ่มต้นทำธุรกิจ
สร้างลิสต์อีเมล ตั้งแคมเปญติดตามการทิ้งสินค้าในตะกร้าเลยตอนนี้ จากนั้นค่อยๆ ปรับปรุงจนกว่าคุณจะมีแผนกลยุทธ์การตลาดอีเมลอีคอมเมิร์ซที่ครบถ้วน เริ่มเลยตอนนี้!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Email Marketing
Email Marketing อีคอมเมิร์ซใช้ยังไง?
Email Marketing สำหรับอีคอมเมิร์ซเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาดที่ใช้การส่งอีเมล เพื่อโปรโมตร้านค้าออนไลน์และสินค้าต่างๆ ซึ่งอีเมลเป็นช่องทางที่นิยมในการสื่อสารกับลูกค้า และเป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับแบรนด์อีคอมเมิร์ซ
ประเภท Email Marketing อีคอมเมิร์ซ มีอะไรบ้าง?
- อีเมลธุรกรรม (Transactional emails)
- อีเมลโปรโมชั่น (Promotional emails)
- อีเมลไลฟ์ไซเคิล (Lifecycle emails)
เครื่องมือ Email Marketing ที่ดีที่สุดคืออะไร?
เครื่องมือ Shopify Email ช่วยให้คุณสร้าง ดำเนินการ และติดตามแคมเปญ Email Marketing ได้ และด้วยเครื่องมือนี้ คุณสามารถปรับแต่งเทมเพลต เพื่อทำให้คอนเทนต์สินค้าจากร้านของคุณสร้างอีเมลที่ทั้งสวยและน่าสนใจได้