ในอดีต การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้ามักอาศัยการพบปะโดยตรงและการบันทึกข้อมูลด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นรายชื่อลูกค้า ยอดขาย หรือประวัติการสั่งซื้อ
แต่เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาท ระบบดิจิทัลก็กลายเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่า เทคโนโลยี Customer Relationship Management (CRM) หรือที่รู้จักกันในชื่อ CRM Integration ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้เครื่องมือที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ในการรวมศูนย์ จัดการ และติดตามการโต้ตอบกับลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องมือ CRM Integration ช่วยให้บริษัทขยายการขาย ค้นหาตลาดใหม่ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าผ่านระบบช่วยเหลือ (Help Desk Ticket) ปรับปรุงผลกำไร และยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์
ด้านล่างนี้ เราจะพาคุณสำรวจวิธีใช้ CRM Integration อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเชื่อมต่อทุกแอปที่ธุรกิจของคุณใช้งานเข้าด้วยกันในแพลตฟอร์มเดียว
CRM Integration คืออะไร?
CRM integration คือการเชื่อมโยงระบบซอฟต์แวร์หลายตัวที่ใช้ในการบริหารงานด้านบริการลูกค้า การขาย และการตลาดของธุรกิจให้อยู่ในระบบ CRM (customer relationship management) เดียวที่รวมศูนย์
การทำเช่นนี้ช่วยให้ธุรกิจมีขั้นตอนที่เป็นระบบสำหรับการจัดการงานด้านการขาย การตลาด และบริการลูกค้า พร้อมทั้งช่วยให้สามารถใช้ซอฟต์แวร์ CRM ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการบันทึกข้อมูลลูกค้าที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันในฐานข้อมูล
CRM สามารถเชื่อมต่อเข้ากับฟังก์ชันธุรกิจและเครื่องมือหลายประเภท เช่น
- การตลาด
- ไอทีและเทคโนโลยี
- การสื่อสาร
- กฎหมาย
- โซเชียลมีเดีย
- อีเมล
- ระบบจุดขาย (POS)
- การวิเคราะห์เว็บไซต์
จากรายงานของ MuleSoft พบว่าองค์กรโดยเฉลี่ยใช้แอปพลิเคชันแยกกันเกือบ 1,000 รายการ ตั้งแต่ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) และแอปพลิเคชันการชำระเงิน ไปจนถึงเครื่องมือการตลาดและซอฟต์แวร์วางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์เหล่านี้ยังมีอยู่ในหลายรูปแบบ ทั้งแบบติดตั้งในองค์กรและแบบแอปบนคลาวด์
การลงทุนในระบบ CRM integration เดียวช่วยให้ธุรกิจประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่อาจเสียไปกับการจัดการข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่ในหลายแอปพลิเคชัน
ประโยชน์ของ CRM Integration
การเข้าถึงและคุณภาพของข้อมูลที่ดีขึ้น
การเชื่อมโยงระบบ CRM กับส่วนอื่นๆ ของธุรกิจช่วยลดปัญหาข้อมูลกระจัดกระจาย ข้อมูลที่เคยแยกขาดจากกันหรือไม่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มลูกค้าจะถูกจัดเก็บและเชื่อมโยงกับโปรไฟล์หรือบัญชีลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ ยังช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น คุณสามารถดูข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญได้ในที่เดียว โดยไม่ต้องสลับไปมาระหว่างแดชบอร์ดหลายตัว ตัวอย่างเช่น หากต้องการทราบว่าสินค้าประเภทใดขายดีที่สุดในกลุ่มลูกค้าบางกลุ่ม คุณสามารถใช้ CRM integration เพื่อดึงข้อมูลเหล่านั้นมาได้ง่ายๆ เพียงติดแท็กลูกค้าตามกลุ่มเป้าหมาย และใช้ข้อมูลจากระบบขายที่เชื่อมต่อกับ CRM เพื่อตรวจสอบว่าสินค้าใดได้รับความนิยมมากที่สุด
ยอดขายที่เพิ่มขึ้น
CRM integration ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งและทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะปฏิบัติต่อลูกค้าทุกคนเหมือนกัน คุณสามารถปรับการสื่อสารและการนำเสนอให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายตามประวัติการซื้อและการมีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณ
ตัวอย่างเช่น หากคุณขายเทียนหอมที่มี 10 กลิ่น คุณสามารถใช้ CRM integration เพื่อจัดกลุ่มลูกค้าตามกลิ่นที่พวกเขาซื้อ จากนั้น ตั้งค่าระบบส่งอีเมลอัตโนมัติแจ้งเตือนเมื่อลูกค้ากลุ่มนั้นใกล้หมดสต็อกของกลิ่นที่พวกเขาชอบ แทนที่จะส่งอีเมลถึงลูกค้าทั้งหมดทุกครั้งที่สินค้าหมดสต็อก คุณสามารถเลือกส่งเฉพาะลูกค้าที่มีแนวโน้มสนใจกลิ่นนั้นจริงๆ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น
ความพึงพอใจของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
หนึ่งในประโยชน์สำคัญของ CRM integration คือความสามารถในการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มอีเมลและระบบส่งข้อความเข้ากับโซลูชัน CRM ได้โดยตรง เมื่อระบบทำงานร่วมกัน คุณสามารถส่งอีเมลและจัดการรายชื่อลูกค้าได้จาก CRM รวมถึงใช้ระบบอัตโนมัติในการส่งข้อความทางการตลาด สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งการบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับการทำตลาดแบบเฉพาะบุคคล
นอกจากนี้ ผู้ใช้ CRM ยังสามารถตั้งค่าการสื่อสารตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น อัตราการตอบกลับ เพื่อช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า และใช้ซอฟต์แวร์การตลาดผ่านอีเมลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิม
ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น
CRM integration ช่วยให้การดำเนินงานของธุรกิจเป็นระบบมากขึ้นในหลายด้าน ตัวอย่างเช่น การเชื่อมต่อซอฟต์แวร์ CRM กับแอปพลิเคชัน ERP ช่วยให้คุณสามารถดูข้อมูลสำคัญของลูกค้า เช่น ข้อมูลประชากร รายละเอียดการติดต่อ และประวัติการซื้อขายได้ในที่เดียว
นอกจากนี้ การรวมแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น ปฏิทิน ระบบสื่อสารภายใน การตลาด และการขายเข้ากับ CRM ไม่เพียงแต่ช่วยรวมข้อมูลให้อยู่ในศูนย์กลางเดียว แต่ยังช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น และสามารถนำข้อมูลเชิงลึกไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
เพิ่มโอกาสในการทำงานแบบออโต้
นอกจากการตั้งเวลาส่งอีเมลการตลาดโดยอัตโนมัติผ่านซอฟต์แวร์การตลาดแล้ว CRM integration ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและแบรนด์โดยอัตโนมัติผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
ตัวอย่างเช่น ซอฟต์แวร์ CRM สามารถให้คะแนนลูกค้าตามการตอบสนองหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ ซึ่งช่วยให้บริษัทเข้าใจมูลค่าของลูกค้าได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้การทำงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การตั้งเวลากิจกรรม การออกใบแจ้งหนี้ หรือการบันทึกเวลาทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและง่ายดาย
คู่มือขั้นตอนการทำ CRM Integration
1. กำหนดเป้าหมาย
เช่นเดียวกับโครงการธุรกิจอื่นๆ การเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ คุณต้องการบรรลุอะไรจากการใช้ CRM integration? คำตอบนี้จะช่วยกำหนดแนวทางการดำเนินงานของคุณ
ตัวอย่างเป้าหมายของ CRM integration อาจรวมถึง
- เพิ่มอัตราการรักษาลูกค้า
- เพิ่มมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า
- กระตุ้นยอดขายให้สูงขึ้น
- ปรับปรุงคุณภาพของข้อมูลลูกค้า
- ยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า
เมื่อคุณกำหนดเป้าหมายได้แล้ว ควรตั้งค่าตัวชี้วัดเพื่อใช้เปรียบเทียบและติดตามความคืบหน้า การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งก่อนและหลังการใช้งาน CRM integration จะช่วยให้คุณมองเห็นแนวโน้มและได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงนี้
2. เลือกแอปธุรกิจที่ต้องการเชื่อมต่อกับ CRM
ระบุแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่คุณต้องการเชื่อมต่อกับระบบ CRM เช่น แพลตฟอร์มอีเมล เครื่องมือการตลาดอัตโนมัติ ระบบ ERP ซอฟต์แวร์ออกบิล และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
จากนั้น พิจารณาว่าแต่ละเครื่องมือจะทำงานร่วมกับ CRM อย่างไร และตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อนี้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของการใช้ CRM integration นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่าเครื่องมือทั้งหมดสามารถทำงานร่วมกับระบบ CRM ที่คุณเลือกได้โดยไม่มีปัญหาความเข้ากันไม่ได้
3. กำหนดแนวทางการเชื่อมต่อ CRM
มีหลายวิธีที่คุณสามารถใช้ในการทำ CRM integration เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจมากที่สุด ซึ่งอาจเป็นการใช้ตัวเชื่อมต่อสำเร็จรูปจากผู้ให้บริการ CRM ใช้เครื่องมือของบุคคลที่สาม หรือพัฒนาระบบเชื่อมต่อแบบกำหนดเอง ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความง่ายในการใช้งาน ความสามารถในการขยายระบบ และระดับความเชี่ยวชาญทางเทคนิคที่จำเป็น
เลือกใช้แอปที่ทำงานร่วมกันได้
วิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้แพลตฟอร์มจากผู้ให้บริการเดียวกัน ซึ่งมักจะช่วยให้ระบบต่างๆ สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด เพราะผู้ให้บริการอาจไม่มีทุกโซลูชันที่ธุรกิจต้องการ
ในกรณีนี้ ควรตรวจสอบว่ามีตัวเลือกการเชื่อมต่อที่รองรับอยู่ในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณหรือไม่ ตัวอย่างเช่น Shopify App Store มีตัวเลือกมากมายสำหรับการทำ CRM integration ที่สามารถทำงานร่วมกับ Shopify ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เขียนโค้ดเพื่อเชื่อมต่อ CRM ของคุณเอง
อีกวิธีหนึ่งคือการพัฒนาระบบภายในองค์กรโดยเขียนโค้ดที่ช่วยให้แอปพลิเคชันต่างๆ สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับระบบ CRM ได้ วิธีนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยม เนื่องจากการดูแลรักษาโค้ดอาจเป็นเรื่องซับซ้อน และหลายธุรกิจไม่มีทรัพยากรด้านไอทีภายในที่เพียงพอสำหรับการพัฒนาระบบแบบกำหนดเอง
ใช้ API ในการเชื่อมต่อ CRM
อีกแนวทางหนึ่งคือการใช้ Application Programming Interface (API) ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้แอปพลิเคชันสามารถสื่อสารกันได้ ตัวอย่างเช่น แอปรถรับส่งอย่าง Uber หรือ Lyft ใช้ API เชื่อมต่อกับบริการแผนที่ภายนอก เช่น Google Maps เพื่อแสดงตำแหน่งที่ตั้งของคุณบนแอป
API เป็นองค์ประกอบสำคัญในเทคโนโลยีทุกประเภท ตั้งแต่เว็บไซต์ไปจนถึงสมาร์ทวอทช์ การใช้ API สำหรับ CRM integration เป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยม เพราะมีความยืดหยุ่น ใช้งานง่าย และต้นทุนต่ำ ด้วย API ธุรกิจสามารถเชื่อมโยงแอปพลิเคชันต่างๆ และดึงข้อมูลที่มีค่าเข้าสู่ระบบ CRM ของบุคคลที่สามได้อย่างราบรื่น
4. ดำเนินการงานด้านเทคนิค
เมื่อคุณเลือกวิธีการ CRM integration แล้ว ก็ถึงเวลาทำการเชื่อมต่อ ขั้นตอนที่ต้องดำเนินการจะแตกต่างกันไปตามแนวทางที่เลือก หากคุณใช้แอปหรือการเชื่อมต่อที่มีอยู่แล้วในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณ อาจสามารถตั้งค่าได้เอง แต่หากคุณเขียนโค้ดเองหรือใช้ API แบบเปิด อาจต้องอาศัยความช่วยเหลือจากทีมเทคนิค
หลังจากเชื่อมต่อ CRM กับแอปพลิเคชันอื่นๆ แล้ว ให้ตั้งค่าและปรับแต่งระบบให้เหมาะสม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการ แมปข้อมูล (Data Mapping) ถูกต้อง เพื่อให้การไหลของข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่นและปราศจากข้อผิดพลาด นอกจากนี้ อาจต้องตั้งค่าการเชื่อมต่อ API และทดสอบระบบ พร้อมทั้งตรวจสอบว่ามีการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสม
5. ทดสอบและเปิดใช้งาน
ก่อนเปิดใช้งาน CRM integration อย่างเป็นทางการ ควรทำการทดสอบระบบก่อน เพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ทดสอบทุกกรณีการใช้งานที่เป็นไปได้ เพื่อให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อทำงานได้อย่างราบรื่น
ตัวอย่างการทดสอบที่ควรทำ ได้แก่ การลองสั่งซื้อสินค้า การลงทะเบียนผ่านฟอร์มบนเว็บไซต์ และการดำเนินการอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับเวิร์กโฟลว์ของ CRM เมื่อผ่านการทดสอบทั้งหมดแล้ว ก็สามารถเปิดใช้งานระบบ CRM ได้อย่างมั่นใจ
6. ประเมินผลลัพธ์
การเปิดใช้งาน CRM integration ไม่ใช่จุดสิ้นสุด ควรติดตามผลและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบเพื่อดูว่าธุรกิจของคุณมีการพัฒนาไปในทิศทางที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่
ใช้ตัวชี้วัดหลัก (KPIs) เช่น คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Score) อัตราการเติบโตของยอดขาย และความถูกต้องของข้อมูล เพื่อตรวจสอบว่าส่วนต่างๆ ของธุรกิจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ การติดตามผลเหล่านี้จะช่วยให้คุณปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน CRM ได้ในระยะยาว
ความท้าทายในการรวมระบบ CRM
ปัญหาในการย้ายข้อมูล
การย้ายข้อมูลจากระบบเก่าไปยัง CRM ใหม่อาจเป็นเรื่องซับซ้อน เปรียบเสมือนการพยายามใส่หมุดสี่เหลี่ยมลงในรูวงกลม หลายธุรกิจต้องเผชิญกับข้อมูลที่ยุ่งเหยิง ไม่สมบูรณ์ หรือไม่อัปเดต ซึ่งอาจทำให้การใช้งานระบบใหม่ไม่มีประสิทธิภาพตามที่คาดหวัง
วิธีแก้ไขปัญหานี้คือ ควรทำความสะอาดและจัดระเบียบข้อมูลก่อนการย้ายระบบ นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือ Data Mapping และการทดสอบอย่างละเอียดจะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
การทำให้ระบบต่างๆ ทำงานร่วมกัน
ธุรกิจส่วนใหญ่มักใช้เครื่องมือหลายตัวที่ต้องสามารถทำงานร่วมกับ CRM ได้ แต่การทำให้ระบบเหล่านี้สื่อสารกันอย่างราบรื่นเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญ
หากไม่มีการเชื่อมต่อที่เหมาะสม ข้อมูลสำคัญอาจสูญหายหรือถูกบันทึกซ้ำซ้อน วิธีแก้ปัญหาคือการใช้แพลตฟอร์มเชื่อมต่อระบบ (Integration Platforms) หรือ API ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางช่วยให้ระบบต่างๆ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความท้าทายในการปรับตัวของผู้ใช้
การนำ CRM ใหม่มาใช้มักเจอกับแรงต้านจากพนักงาน หลายคนคุ้นเคยกับวิธีการทำงานเดิมและอาจไม่เห็นคุณค่าของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจทำให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างล่าช้าและส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบใหม่
แนวทางแก้ไขคือการลงทุนในโปรแกรมฝึกอบรมและการสื่อสารให้ชัดเจนถึงประโยชน์ของระบบใหม่ การแต่งตั้ง CRM Champions ภายในทีมเพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงและให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนร่วมงานก็สามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดการปรับตัวได้ง่ายขึ้น
ความซับซ้อนในการปรับแต่ง
แต่ละธุรกิจมีความต้องการเฉพาะตัว และโซลูชัน CRM สำเร็จรูปมักต้องมีการปรับแต่งเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริง อย่างไรก็ตาม การปรับแต่ง CRM อาจเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน
แนวทางที่ดีคือเริ่มจากการทำความเข้าใจความต้องการของธุรกิจและกระบวนการทำงานของ CRM อย่างชัดเจน จากนั้นทำงานร่วมกับที่ปรึกษาหรือผู้พัฒนาที่มีประสบการณ์ เพื่อให้การปรับแต่งเป็นไปอย่างราบรื่นและมั่นใจได้ว่าระบบสามารถตอบโจทย์องค์กรได้อย่างแท้จริง
เครื่องมือสำหรับ CRM Integration
มีทั้งซอฟต์แวร์ CRM แบบเสียค่าใช้จ่ายและแบบฟรีให้เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจ
ตัวเลือกแพลตฟอร์ม CRM integration ที่เหมาะกับร้านค้า Shopify ได้แก่
Salesforce Sync
Salesforce Sync เป็นระบบ CRM integration ที่ช่วยส่งข้อมูลคำสั่งซื้อและข้อมูลลูกค้าของ Shopify ไปยังแพลตฟอร์ม Salesforce โดยอัตโนมัติ Salesforce และ Hubspot เป็นหนึ่งในตัวเลือก CRM ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และแอป Salesforce บน Shopify ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างสองแพลตฟอร์มเป็นเรื่องง่าย
คุณสามารถสร้างบัญชีลูกค้า ส่งข้อมูลย้อนหลังจาก Shopify ไปยัง Salesforce และรับการแจ้งเตือนเมื่อเกิดข้อผิดพลาดในการซิงค์ข้อมูล
Salesforce CRM ให้บริการในรูปแบบสมัครสมาชิก รายเดือน โดยเริ่มต้นที่ประมาณ 642 บาทต่อเดือน
HubSpot CRM
HubSpot CRM เป็นแพลตฟอร์ม CRM ที่ครอบคลุมและใช้งานได้ฟรี เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานด้านการขาย และยังมีแอปที่รองรับการใช้งานร่วมกับ Shopify นอกเหนือจาก CRM แล้ว HubSpot ยังมีฟีเจอร์สำหรับการตลาดอัตโนมัติและการบริหารงานบริการลูกค้า
ด้วยการเชื่อมต่อ HubSpot กับ Shopify คุณสามารถซิงค์และแบ่งกลุ่มข้อมูลลูกค้า ปรับแต่งและทำงานอัตโนมัติในกระบวนการสื่อสารกับลูกค้า รวมถึงใช้ประโยชน์จากระบบเก็บข้อมูลและรายงานได้
HubSpot มีตัวเลือกใช้งานฟรี และแพ็กเกจแบบชำระเงินเริ่มต้นที่ประมาณ 1,070 บาทต่อเดือน
Reamaze Live Chat Helpdesk CRM
Reamaze Live Chat Helpdesk CRM เป็นแพลตฟอร์มที่มาพร้อมแอปบน Shopify ที่ช่วยให้ร้านค้าใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า รวมถึงมีฟีเจอร์สนับสนุนลูกค้าและระบบแชทสด
แพลตฟอร์มนี้สามารถรวมข้อมูลจากหลายช่องทาง เช่น อีเมล โซเชียลมีเดีย SMS และแม้แต่การโทรศัพท์
Reamaze มีแพ็กเกจสมัครสมาชิกหลายระดับ โดยราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 1,030 บาทต่อเดือน
Endear CRM and Clienteling
Endear CRM and Clienteling เป็นระบบ CRM ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับธุรกิจค้าปลีก ช่วยให้คุณจัดการข้อมูลลูกค้า ปรับแต่งแคมเปญการตลาดผ่านอีเมลและ SMS และติดตามการติดต่อกับลูกค้าผ่านทุกช่องทาง
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์สำหรับการขายและการสนับสนุนลูกค้าผ่านระบบแชทสด
Endear มีแพ็กเกจสมัครสมาชิก 3 ระดับ โดยแพ็กเกจเริ่มต้นอยู่ที่ ประมาณ 2,140 บาทต่อเดือน
การปลดล็อกการเติบโตด้วยการรวมระบบ CRM
ระบบ CRM สามารถช่วยให้การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นระบบมากขึ้น โดยอัตโนมัติ ลดขั้นตอนการป้อนข้อมูล ลดความจำเป็นในการติดต่อแบบพบหน้า และช่วยให้ข้อมูลมีคุณภาพมากขึ้น
การทำ CRM integration อย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้แอปพลิเคชันต่างๆ ทำงานร่วมกันได้เป็นระบบเดียวกัน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าและปรับปรุงกระบวนการทำงานได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้คุณสามารถเข้าใจและให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น เพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
หากต้องการใช้ CRM integration เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ ควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการบรรลุอะไรจากการเชื่อมต่อระบบ การมีเป้าหมายที่แน่วแน่จะช่วยให้การทำ CRM integration ประสบความสำเร็จและให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรวมระบบ CRM
ทำไม CRM integration ถึงมีความสำคัญ?
การใช้ระบบ CRM ที่เชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์ช่วยให้การดำเนินงานขององค์กรเป็นระบบมากขึ้น โดยทำให้เครื่องมือที่ใช้ในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าสามารถทำงานร่วมกันได้ การรวมข้อมูลลูกค้าไว้ในที่เดียวช่วยให้ธุรกิจประหยัดเวลา ปรับปรุงการตลาดแบบเจาะจงเป้าหมาย เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ และขยายฐานลูกค้าได้ง่ายขึ้น
CRM ควรเชื่อมต่อกับอะไรบ้าง?
ยิ่งธุรกิจสามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่างๆ กับ CRM ได้มากเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น CRM ควรสามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือทางการตลาด ระบบบริการลูกค้า และแอปพลิเคชันการชำระเงินได้ การรวมข้อมูลจากทุกแผนกให้อยู่ในระบบเดียวช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น ลดเวลาและแรงงานที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง
ฟังก์ชันพื้นฐานของ CRM มีอะไรบ้าง?
โดยทั่วไป CRM ใช้ในการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น รายละเอียดการติดต่อ ข้อมูลประชากร ประวัติการซื้อ การตอบสนองต่อแคมเปญการตลาด และประวัติการใช้บริการลูกค้า นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างลูกค้าเป้าหมาย ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า และรองรับการตลาดอัตโนมัติ การวิเคราะห์ยอดขาย รวมถึงการสื่อสารภายในองค์กรได้อีกด้วย