การสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้าเป็นเรื่องง่ายเมื่อมีลูกค้าเพียงไม่กี่ราย คุณอาจรู้เป้าหมายของลูกค้า ประวัติการซื้อ หรือแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างอาการแพ้อาหาร หรือแผนท่องเที่ยว
แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ทุกอย่างก็ซับซ้อนขึ้น จะทำอย่างไรให้ลูกค้าทุกคนได้รับการดูแลในมาตรฐานเดียวกัน? จะสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและตรงใจลูกค้าได้อย่างไรเมื่อมีลูกค้านับพันคน?
ซอฟต์แวร์บริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) คือเครื่องมือที่ช่วยได้ CRM ช่วยลดภาระงานด้านเอกสารและช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้า แม้ว่าธุรกิจจะขยายใหญ่ขึ้น คุณก็ยังสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
CRM คืออะไร?
ระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อช่วยธุรกิจจัดการและพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า รวมถึงผู้ที่อาจกลายเป็นลูกค้าในอนาคต
CRM ทำหน้าที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลลูกค้า กิจกรรม และประวัติการสื่อสารไว้ในฐานข้อมูลเดียวที่เข้าถึงได้ง่าย แทนที่การใช้สเปรดชีต เอกสาร หรือแอปที่ธุรกิจมักใช้ในการติดตามข้อมูลลูกค้า
CRM สามารถช่วยวางแผนการติดต่อ วิเคราะห์ผลลัพธ์ บริหารจัดการการสื่อสารกับลูกค้า รวมถึงปรับปรุงกระบวนการเรียกเก็บเงินและบริการลูกค้าให้เป็นระบบมากขึ้น
ประโยชน์ของ CRM มีอะไรบ้าง?
CRM มอบประโยชน์หลัก 2 ด้าน ได้แก่ เพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร (ช่วยลดต้นทุนธุรกิจ) และพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า (ช่วยเพิ่มรายได้) พูดง่ายๆ ก็คือ การใช้ระบบ CRM สามารถช่วยให้ธุรกิจบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นและสร้างรายได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ผลกำไรที่สูงขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร
เครื่องมือ CRM ช่วยให้เจ้าของธุรกิจประหยัดเวลา ลดภาระงานเอกสาร และปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ราบรื่นขึ้นสำหรับทีมขาย ทีมการตลาด และทีมบริการลูกค้า ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพของ CRM ได้แก่
- จัดระเบียบข้อมูลได้ดีขึ้น: CRM ช่วยให้การจัดการข้อมูลลูกค้าเป็นระบบยิ่งขึ้น ด้วยการรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในที่เดียว ทำให้ค้นหาข้อมูลที่ต้องใช้ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการดูประวัติลูกค้าหรือการแนะนำสมาชิกใหม่ให้กับทีม
- ปรับปรุงการสื่อสารภายใน: CRM บางระบบออกแบบมาเพื่อให้แผนกต่างๆ ในองค์กรทำงานร่วมกันได้สะดวกขึ้น เช่น ทีมขายและทีมการตลาดสามารถติดตามกิจกรรมของลูกค้าเป้าหมาย (Leads) และสื่อสารกันภายในแพลตฟอร์มได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการประชุมหรืออีเมลที่ยืดเยื้อ
- เพิ่มความสามารถในการทำงานอัตโนมัติ: CRM สามารถช่วยให้ธุรกิจทำงานได้อย่างอัตโนมัติ ทั้งในด้านการสื่อสารทางการตลาด การโต้ตอบกับลูกค้า การบันทึกกิจกรรม และการป้อนข้อมูล นอกจากนี้ ระบบยังสามารถตั้งค่าให้แจ้งเตือนทีมขายและทีมการตลาดให้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้โดยอัตโนมัติ
พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า
ซอฟต์แวร์ CRM ช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ทำให้ดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ง่ายขึ้นและเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้าให้สูงขึ้น นี่คือ 5 วิธีที่ CRM ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
- การสื่อสารกับลูกค้าดีขึ้น: CRM ช่วยให้ส่งข้อความหรือข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายหรือกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น ทำให้การสื่อสารเป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- สนับสนุนกระบวนการเปลี่ยนลูกค้าเป้าหมายเป็นลูกค้าจริง: CRM สามารถช่วยให้ธุรกิจเลือกวิธีการติดต่อที่เหมาะสมกับลูกค้าเป้าหมายหรือกลุ่มเป้าหมายแต่ละประเภทได้ โดยพิจารณาจากประวัติการมีส่วนร่วม ตัวอย่างเช่น เครื่องมือจัดการลูกค้าเป้าหมาย (Lead Management) ของ CRM สามารถระบุได้ว่าลูกค้าอยู่ในขั้นตอนไหนของกระบวนการซื้อ และช่วยให้ทีมขายสามารถติดตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า: CRM ทำให้สามารถตอบสนองต่อคำขอของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น ติดตามการมีส่วนร่วม และมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและตรงความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
- ให้ข้อมูลเชิงลึกจากข้อมูลจริง: CRM สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการขาย การให้บริการลูกค้า และการมีส่วนร่วมของลูกค้า เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดึงดูดลูกค้า ประสบการณ์ของลูกค้า และอัตราการรักษาลูกค้า ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจปรับกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เพิ่มความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน: เนื่องจาก CRM สามารถติดตามเส้นทางของลูกค้าตั้งแต่การติดต่อครั้งแรกไปจนถึงการดูแลรักษาความสัมพันธ์ ทีมขาย การตลาด และบริการลูกค้าสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกับลูกค้า เมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น พนักงานก็ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีความสุขมากขึ้นเช่นกัน
ระบบ CMD ทั้ง 4 ประเภท
มีระบบ CRM หลักอยู่ 4 ประเภท ได้แก่ Operational CRM, Analytical CRM, Collaborative CRM และ Strategic CRM ซึ่งแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายทางธุรกิจที่แตกต่างกัน โดยหลายธุรกิจมักใช้ระบบ CRM มากกว่าหนึ่งประเภท หรือพัฒนาโซลูชัน CRM แบบเฉพาะที่ผสมผสานคุณสมบัติจากแต่ละประเภทเข้าด้วยกัน โดยด้านล่างนี้คือความแตกต่างของ CRM ทั้ง 4 ประเภท
1. CRM เชิงปฏิบัติการ
Operational CRM ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานด้านการขาย การตลาด และบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ทุกช่องทางที่ธุรกิจใช้ในการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าทำงานได้อย่างเป็นระบบ
เป้าหมายหลักของ Operational CRM คือการเพิ่มลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิม ระบบนี้ช่วยดึงดูดลูกค้าเป้าหมาย ดูแลพวกเขาให้อยู่ในเส้นทางการซื้อ แปลงเป็นลูกค้าจริง และรักษาความสัมพันธ์ผ่านการสื่อสารทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการให้บริการลูกค้าคุณภาพสูง
ธุรกิจทุกขนาดสามารถใช้ Operational CRM เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และมักจะใช้ร่วมกับระบบอัตโนมัติที่ช่วยประหยัดเวลา เช่น
-
Marketing Automation (ระบบอัตโนมัติด้านการตลาด) ช่วยกำหนดเป้าหมายลูกค้ากลุ่มต่างๆ ผ่านอีเมล ข้อความ และโฆษณาดิจิทัล โดยสามารถตั้งค่าให้ทำงานตามพฤติกรรมของลูกค้า เช่น หลังจากทำการซื้อหรือเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์ สำหรับธุรกิจที่มีระยะเวลาการขายยาวนาน Operational CRM สามารถติดตามจุดสัมผัส (touchpoints) กับลูกค้า ส่งอีเมลติดตามผลอัตโนมัติ และแจ้งเตือนเมื่อลูกค้าพร้อมเข้าสู่กระบวนการขาย
-
Sales Automation (ระบบอัตโนมัติด้านการขาย) ใช้ตัวกระตุ้นพฤติกรรม (behavioral triggers) เพื่อช่วยให้ทีมขายสามารถส่งข้อความหรือข้อเสนอที่ตรงจุดให้กับลูกค้าในช่วงเวลาที่เหมาะสมภายในกระบวนการขาย นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถให้คะแนนและจัดการลูกค้าเป้าหมาย รวมถึงสร้างรายงานคาดการณ์ยอดขายโดยอัตโนมัติ
- Customer Service Automation (ระบบอัตโนมัติด้านบริการลูกค้า) รวมถึงฟีเจอร์ช่วยเหลือตัวเอง (self-service) แชทสด (live chat) และแชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าการตอบกลับอีเมลอัตโนมัติเพื่อช่วยจัดการคำขอของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
2. CRM เชิงวิเคราะห์
หาก Operational CRM ช่วยดึงลูกค้าเข้าสู่กระบวนการขาย Analytical CRM ช่วยให้เข้าใจว่าลูกค้าแต่ละรายเคลื่อนผ่านกระบวนการขายอย่างไร
Analytical CRM ทำหน้าที่รวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมและการมีปฏิสัมพันธ์ของลูกค้ากับแบรนด์ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด การขาย และการให้บริการลูกค้า พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ธุรกิจสามารถเรียกดูรายงานแคมเปญการตลาด 6 รายการล่าสุด วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวัดผลว่าแคมเปญไหนประสบความสำเร็จมากที่สุด และใช้กลยุทธ์จากแคมเปญนั้นเป็นแนวทางในการพัฒนาแคมเปญต่อไป
นอกจากนี้ Analytical CRM ยังสามารถสร้างรายงานด้านประสิทธิภาพ เช่น ประวัติการขาย หรือคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งช่วยให้ธุรกิจใช้จุดแข็งของทีมที่มีผลงานดี และระบุจุดที่ควรพัฒนาสำหรับทีมงาน
ธุรกิจทุกขนาดสามารถใช้ Analytical CRM ได้ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการยกระดับกลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. CRM เชิงประสานงาน
ในองค์กรขนาดใหญ่ ทีมขาย ทีมการตลาด และทีมบริการลูกค้ามักต้องทำงานร่วมกันเพื่อดูแลบัญชีลูกค้า Collaborative CRM ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้การทำงานร่วมกันระหว่างแผนกเป็นไปอย่างราบรื่น โดยมีเป้าหมายหลักคือ ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
Collaborative CRM เหมาะกับธุรกิจที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ ซึ่งแต่ละบัญชีลูกค้าอาจมีหลายทีมที่เกี่ยวข้องในการดูแล ตัวอย่างของการสื่อสารระหว่างแผนกผ่าน CRM มีดังนี้
- ทีมขาย รวบรวมข้อมูลของลูกค้าเป้าหมายใหม่จากงานอีเวนต์และอัปโหลดข้อมูลลงในระบบ CRM
- ทีมการตลาด นำข้อมูลลูกค้าเป้าหมายเข้าสู่แคมเปญการตลาดอัตโนมัติ
- เมื่อตัวแทนฝ่ายขายติดต่อกลับเพื่อติดตามผล พวกเขาสามารถดูประวัติของลูกค้ากับบริษัทได้ทั้งหมด ตั้งแต่การสนทนาแรกที่งานอีเวนต์ไปจนถึงการมีส่วนร่วมกับสื่อการตลาด
- เมื่อลูกค้าตัดสินใจซื้อ ระบบ CRM สามารถตั้งค่าให้มี การติดตามผลอัตโนมัติ เช่น การโทรขอบคุณจากทีมบริการลูกค้า
- หากลูกค้าต้องการความช่วยเหลือและส่งคำขอเข้ามา ระบบจะ แจ้งเตือนทีมบริการลูกค้า ซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของลูกค้าได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นประวัติการตลาด การขาย และบริการ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
4. CRM เชิงกลยุทธ์
Strategic CRM มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ Collaborative CRM เนื่องจากมีฟีเจอร์ที่คล้ายกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ Collaborative CRM เน้นการปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างทีมในระยะสั้น ขณะที่ Strategic CRM มุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว เป้าหมายหลักของ Strategic CRM คือ การรักษาลูกค้าเดิมและเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์
Strategic CRM ทำหน้าที่ รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการและความสำคัญของลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจสามารถมอบคุณค่าและประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับกลุ่มลูกค้า ตัวอย่างเช่น ระบบอาจบอกได้ว่าลูกค้าแต่ละรายชอบใช้ช่องทางการสื่อสารแบบไหนมากที่สุด ซึ่งระบบ CRM เชิงกลยุทธนี้จะเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว เช่น บริษัท IT ที่ให้บริการจัดการข้อมูลต่อเนื่อง หรือ ธุรกิจที่เน้นการให้บริการหลังการขาย เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดและยังคงเลือกใช้บริการของธุรกิจต่อไป
วิธีใช้ซอฟต์แวร์ CRM ในธุรกิจของคุณ
1. กำหนดเป้าหมาย
คุณอยากให้ทีมขายและการตลาดทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นใช่มั้ย? อยากเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้า หรือวิเคราะห์ศักยภาพของสินค้าตัวใหม่? การตอบคำถามเหล่านี้ก่อนเลือก CRM จะช่วยให้มั่นใจว่าระบบที่เลือกตรงกับความต้องการของธุรกิจ
2. เลือก CRM ที่เหมาะกับธุรกิจ
หลังกำหนดเป้าหมายแล้ว ให้เลือกประเภทของ CRM ที่เหมาะสม (Operational, Analytical, Collaborative หรือ Strategic) จากนั้นศึกษาผู้ให้บริการ CRM และเลือกแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์
3. ตั้งค่าระบบ CRM
ติดตั้งแอปพลิเคชัน กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงให้พนักงานที่เกี่ยวข้อง นำเข้าข้อมูลบริษัทและลูกค้าเข้าสู่ฐานข้อมูลของ CRM และเชื่อมต่อกับเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มที่ใช้อยู่เดิม
4. เริ่มงานและกลยุทธ์
เมื่อระบบพร้อมใช้งานแล้ว ให้ใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ของ CRM เพื่อดำเนินกลยุทธ์ เช่น การตั้งค่าแคมเปญอีเมลอัตโนมัติ หรือพัฒนาระบบบริการลูกค้า
5. วิเคราะห์ผลและปรับแผน
ใช้ CRM สร้างรายงาน วิเคราะห์ข้อมูล และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CRM
CRM คืออะไร?
CRM (Customer Relationship Management) คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ธุรกิจบริหารและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า ตัวอย่างของ CRM คือ HubSpot CRM ซึ่งรองรับการทำงานด้านการขาย การตลาด การบริการลูกค้า และการดำเนินงานของธุรกิจ
CRM มีกี่ประเภท?
CRM แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่
- CRM เชิงกลยุทธ– ช่วยจัดการงานขาย การตลาด และบริการลูกค้า
- CRM เชิงวิเคราะห์ – วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ทางธุรกิจ
- CRM เชิงประสานงาน – เชื่อมโยงการทำงานระหว่างแผนกต่างๆ ในองค์กร
- CRM เชิงกลยุทธ – มุ่งเน้นการรักษาลูกค้าและความภักดีต่อแบรนด์ระยะยาว
CRM ใช้ทำอะไร?
CRM ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยให้ธุรกิจสามารถจัดเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างปลอดภัยและเป็นระบบ รวมถึงช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการและสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นส่วนตัวมากขึ้น