การตลาดแบบพันธมิตรช่วยให้แบรนด์และผู้สร้างเนื้อหาได้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกัน แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแรงจูงใจจากบล็อกเกอร์ นักจัดพอดแคสต์ และผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดีย ในทางกลับกัน ผู้สร้างเนื้อหาจะได้รับค่าคอมมิชชันจากการขายหรือการแนะนำ ซึ่งเป็นวิธีที่มั่นคงในการสร้างรายได้จากเนื้อหาของพวกเขา
คู่มือนี้อธิบายวิธีการเป็นนักการตลาดแบบพันธมิตรและทำเงินจากการโปรโมทผลิตภัณฑ์ ด้านล่างนี้คือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดแบบพันธมิตรและตัวอย่างของโปรแกรมพันธมิตรยอดนิยม
🌟 ต้องการเริ่มโปรแกรมพันธมิตรหรือไม่ นี่คือวิธีในการสรรหาและจัดการพันธมิตรสำหรับธุรกิจของคุณ
การตลาดแบบพันธมิตรคืออะไร
การตลาดแบบพันธมิตรเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีพื้นฐานจากผลลัพธ์ ซึ่งผู้สร้าง ผู้มีอิทธิพล และผู้ประกอบการสามารถสร้างรายได้จากการโปรโมทผลิตภัณฑ์หรือบริการของผู้ค้าปลีกได้
พันธมิตรจะกระตุ้นให้ผู้ชมของพวกเขาเข้าไปยังร้านค้าออนไลน์หรือแพลตฟอร์มการตลาด ผ่านลิงก์พันธมิตรที่ติดตามว่าผู้ใช้เข้ามาจากที่ไหน พันธมิตรส่วนใหญ่ได้รับค่าตอบแทนเมื่อการแนะนำของพวกเขานำไปสู่การขาย บางโปรแกรมยังให้รางวัลสำหรับการแนะนำ การลงทะเบียนทดลองใช้งานฟรี การคลิกเว็บไซต์ หรือการดาวน์โหลดแอปด้วย
เครือข่ายพันธมิตรเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงพันธมิตรกับแบรนด์และให้เครื่องมือในการสร้างและจัดการลิงก์พันธมิตร
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การตลาดแบบพันธมิตรได้รับการยอมรับว่าเป็นกลยุทธ์ธุรกิจออนไลน์ที่มีกำไร ซึ่งสนับสนุนผู้สร้าง ผู้ประกอบการ และผู้ที่มองหางานเสริม
Affiliate ทํายังไง? อธิบายการทำงานของการตลาดแบบพันธมิตร
Affiliate ทํายังไง? โปรแกรมพันธมิตรหลายโปรแกรมไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม โปรแกรมพันธมิตรทำงานโดยการอนุญาตให้บุคคลหรือธุรกิจโปรโมทและขายผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทอื่น เพื่อแลกกับค่าคอมมิชชันจากการขายแต่ละครั้ง
พันธมิตรได้รับค่าคอมมิชชันทุกครั้งที่มีการซื้อผ่านลิงก์พันธมิตรที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำแนะนำของพวกเขา
นี่คือกลไกการตลาดแบบพันธมิตร
- พันธมิตรโปรโมทลิงก์พันธมิตรให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ บล็อก หรือ Social Network
- สมาชิกในกลุ่มผู้ชมคลิกลิงก์
- สมาชิกในกลุ่มผู้ชมทำการซื้อ
- เครือข่ายพันธมิตรบันทึกธุรกรรม
- พันธมิตรได้รับค่าคอมมิชชันเป็นเงิน
อัตราค่าคอมมิชชันสำหรับการขายพันธมิตรจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม และข้อตกลงที่เจรจาระหว่างพันธมิตรและแบรนด์
ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาต่ำและปริมาณสูง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อาจให้ค่าคอมมิชชัน 5% ของการขายแต่ละครั้ง ในขณะที่โปรแกรมพันธมิตรที่มีราคาสูงในภาคการเงินและซอฟต์แวร์สามารถเสนอค่าคอมฯ ให้ได้มากกว่า 20%
พันธมิตรที่ประสบความสำเร็จอาจเจรจาเพื่อรับเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น บางโปรแกรมการตลาดแบบพันธมิตรให้ค่าตอบแทนแบบอัตราคงที่ต่อการขายแทนเปอร์เซ็นต์
เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ Shopify
เข้าร่วมโปรแกรมเพื่อให้แบรนด์ของคุณเติบโต เข้าถึงโอกาสพิเศษ และรับค่าคอมมิชชันที่สมน้ำสมเนื้อสำหรับธุรกิจใหม่ที่คุณแนะนำให้ Shopify
3 ประเภทของการตลาดแบบพันธมิตร
1. การตลาดแบบพันธมิตรที่ไม่เกี่ยวข้อง
การตลาดแบบพันธมิตรที่ไม่เกี่ยวข้อง หมายถึงการที่พันธมิตรทำหน้าที่เป็นผู้โฆษณา หรือผู้โปรโมทโดยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ หรืออุตสาหกรรมที่พวกเขาโปรโมท พันธมิตรเหล่านี้อาจโปรโมทผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายให้กับผู้ชมที่หลากหลายเช่นกัน
พวกเขามักใช้แคมเปญโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) เพื่อเข้าถึงลูกค้าบนโซเชียลมีเดียและหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา
2. การตลาดแบบพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง
การตลาดแบบพันธมิตรที่เกี่ยวข้องคือการโปรโมทผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีความสอดคล้องกับผู้ชมของพันธมิตร พันธมิตรกลุ่มนี้ลงทุนทรัพยากรเพื่อสร้างกลุ่มผู้ติดตามที่เหนียวแน่น ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น บล็อก YouTube TikTok หรือการตลาดเนื้อหาประเภทอื่น ๆ
นักการตลาดแบบพันธมิตรที่เกี่ยวข้องมักจะเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการ ทำให้พวกเขากลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ผู้ติดตามไว้วางใจในการแนะนำผลิตภัณฑ์
3. การตลาดแบบพันธมิตรที่มีส่วนร่วม
การตลาดแบบพันธมิตรที่มีส่วนร่วม หมายถึงการสร้างเนื้อหาที่ผสานผลิตภัณฑ์หรือบริการเข้าไปอย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวสินค้า การสาธิตการใช้งาน หรือเนื้อหาที่แสดงถึงประโยชน์ของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ การสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือในสายตาผู้ชมเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างธุรกิจการตลาดแบบพันธมิตรอย่างยั่งยืน
ข้อดีและข้อเสียของการตลาดแบบพันธมิตร
มีการใช้จ่ายในการตลาดแบบพันธมิตรเกิน 8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และยังคงเติบโต สำหรับผู้สร้างเนื้อหา การตลาดแบบพันธมิตรเป็นวิธีเริ่มต้นธุรกิจที่มีต้นทุนต่ำและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน
ก่อนที่จะดำดิ่งลงไป ควรพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียของการตลาดแบบพันธมิตรเหล่านี้
ข้อดีของการตลาดแบบพันธมิตร
ทำได้ง่าย
การตลาดแบบพันธมิตรมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือการแนะนำลูกค้าไปยังผู้ค้าปลีกที่เป็นพันธมิตรของคุณ พันธมิตรสามารถมุ่งเน้นไปที่การตลาดและปล่อยให้หน้าที่ซับซ้อนอื่น ๆ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการจัดการคำสั่งซื้อ เป็นความรับผิดชอบของผู้ค้าปลีกแทนได้
การลงทุนและความเสี่ยงต่ำ
การเข้าร่วมโปรแกรมพันธมิตรไม่มีค่าใช้จ่าย เมื่อคุณมีผู้ติดตามที่มั่นคงแล้ว คุณสามารถเริ่มสร้างรายได้จากการโปรโมทผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งเป็นวิธีสร้างรายได้ที่ค่อนข้างเป็นพาสซีฟจากค่าคอมมิชชัน
ขยายได้ง่าย
หากประสบความสำเร็จ การตลาดแบบพันธมิตรสามารถเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องการพนักงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม พันธมิตรสามารถขยายธุรกิจได้โดยการโปรโมทผลิตภัณฑ์ใหม่ เจรจาค่าคอมมิชชันที่สูงขึ้น หรือใช้รายได้เพื่อขยายช่องทางการเข้าถึง
ข้อเสียของการตลาดแบบพันธมิตร
ใช้เวลานาน
ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่ว่า การตลาดแบบพันธมิตรไม่ใช่แผนทำเงินด่วน การสร้างฐานผู้ชมและความเชื่อถือใช้เวลาและความทุ่มเท คุณอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการสร้างเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้รายได้ที่มั่นคง
การควบคุมที่จำกัด
พันธมิตรต้องปฏิบัติตามกฎของโปรแกรมพันธมิตร ซึ่งอาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับวิธีการโปรโมทผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ โมเดลรายได้ยังขึ้นอยู่กับค่าคอมมิชชัน หมายความว่าคุณจะได้รับเพียงส่วนเล็กน้อยจากการขายแต่ละครั้ง
อย่างไรก็ตาม หากคุณประสบความสำเร็จในการแนะนำลูกค้าไปยังบริษัทเฉพาะ คุณอาจสามารถเจรจาค่าคอมมิชชันที่สูงขึ้น โบนัส หรือการเข้าถึงเนื้อหาการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น โปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ชมของคุณ
ใครควรเป็นนักการตลาดแบบพันธมิตร
สำหรับธุรกิจใหม่ การตลาดแบบพันธมิตรเป็นวิธีการสร้างรายได้ที่มีต้นทุนที่ต่ำ ส่วนผู้สร้างเนื้อหาที่มีฐานผู้ติดตามอยู่แล้ว นี่คือโอกาสในการเพิ่มรายได้จากผู้ชมปัจจุบันหรือจากพอร์ตโฟลิโอเนื้อหาที่มีอยู่
นี่คือสัญญาณ 3 ประการที่บ่งบอกว่า Affiliate marketing อาจเหมาะกับคุณ ได้แก่
คุณเข้าถึงผู้ชมได้
หากคุณมีฐานผู้ติดตามที่มีส่วนร่วม คุณอาจอยู่ในตำแหน่งที่ดีสำหรับการทำการตลาดแบบพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ชมขนาดใหญ่หรือคอมมูนิตี้เฉพาะกลุ่มที่สนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น พอดแคสต์ด้านสุขภาพสามารถร่วมมือกับผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความสนใจของผู้ฟัง เช่น วิตามินเสริมสุขภาพ แอปการทำสมาธิ หรือที่นอนเพื่อสุขภาพ
คุณเป็นผู้สร้างคอนเท้นท์ที่มีฝีมือ
หากคุณสามารถสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดผู้คนได้มากมาย การตลาดแบบพันธมิตรอาจเป็นโมเดลธุรกิจที่เหมาะกับคุณ
นักการตลาดแบบพันธมิตรหลายคนใช้กลยุทธ์ SEO เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับสูงใน SEO ในผลลัพธ์การค้นหา ส่วนคนอื่น ๆ อาจเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่เป็นไวรัลสำหรับ Instagram Reels หรือ YouTube
คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ
หากคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะกลุ่ม คุณสามารถใช้ความรู้ความสามารถของคุณในการโน้มน้าวให้ผู้คนเชื่อใจและคลิกผ่านไปยังผลิตภัณฑ์ที่คุณโปรโมทได้ การสร้างเนื้อหาทางการศึกษายังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้าให้สนใจ
นักการตลาดแบบพันธมิตรทำเงินได้อย่างไร (และได้เท่าไหร่)
เมื่อคุณเข้าร่วมโปรแกรมพันธมิตร คุณจะพบกับโมเดลการจ่ายเงินที่แตกต่างกัน แต่ละโปรแกรมอาจเรียกโครงสร้างการจ่ายเงินต่างกันไป เช่น โครงสร้างราคา โมเดลการจ่ายเงิน หรือประเภทการแปลง
โมเดลการจ่ายเงินจะบอกพันธมิตรว่า พวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนจากพฤติกรรมของผู้ใช้ประเภทใด ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังโปรโมทผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ เป้าหมายของคุณอาจเป็นการให้ลูกค้าลงทะเบียนทดลองใช้งานฟรี แต่ถ้าคุณโปรโมทผลิตภัณฑ์ทางกายภาพ เป้าหมายคือการซื้อสินค้า
โปรแกรม Affiliate marketing หลายโปรแกรมใช้โมเดล Marketing Attribution แบบคลิกสุดท้าย ซึ่งหมายความว่าพันธมิตรที่ได้รับคลิกสุดท้ายก่อนการซื้อจะได้รับเครดิต 100% สำหรับการขายนั้น
5 วิธีที่พันธมิตรได้รับค่าตอบแทน
- ต่อการขาย พันธมิตรได้รับค่าคอมมิชชันสำหรับการขายแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นโมเดลที่พบได้บ่อยในอีคอมเมิร์ซ
- ต่อการกระทำ พันธมิตรจะได้รับค่าคอมมิชชันสำหรับการกระทำที่เฉพาะเจาะจง เช่น การลงทะเบียนรับข่าวสาร การขอข้อมูล หรือการกรอกแบบฟอร์ม
- ต่อการติดตั้ง พันธมิตรได้รับค่าตอบแทนสำหรับการติดตั้งแอปหรือซอฟต์แวร์แต่ละครั้ง
- ต่อการแนะนำ พันธมิตรได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่Leadลูกค้าไปยังเว็บไซต์หรือแอปของพันธมิตร
- ต่อการคลิก พันธมิตรได้รับค่าคอมมิชชันสำหรับการคลิกแต่ละครั้งบนลิงก์พันธมิตร โมเดลนี้มักถูกใช้โดยแบรนด์ใหญ่ที่ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์
นักการตลาดแบบพันธมิตรสามารถทำเงินได้เท่าไร
ข้อมูลจากปี 2023 แสดงให้เห็นว่านักการตลาดแบบพันธมิตรส่วนใหญ่ทำรายได้อย่างน้อย 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือนจากลิงก์พันธมิตรที่โปรโมทบนโซเชียลมีเดีย เมื่อรวมกับการโปรโมทผ่านเว็บไซต์หรือช่องทางการตลาดอื่น ๆ การตลาดแบบพันธมิตรสามารถพัฒนาเป็นธุรกิจเต็มเวลาได้อย่างมีกำไร
ตามข้อมูลจากบริษัทซอฟต์แวร์การชดเชย Payscale เงินเดือนเฉลี่ยประจำปีของนักการตลาดแบบพันธมิตรอยู่ที่มากกว่า 56,000 ดอลลาร์ โดยอิงจากข้อมูลเงินเดือนกว่า 7,000 โปรไฟล์ อย่างไรก็ตาม นักการตลาดแบบพันธมิตรที่มีประสบการณ์สูงหรือมีผู้ติดตามจำนวนมากมักทำเงินได้มากกว่านั้น
โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งคุณมีผู้ติดตามมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสในการทำเงินออนไลน์ในฐานะนักการตลาดแบบพันธมิตรมากขึ้น แต่ก็ไม่ควรมองข้ามพลังของกลุ่มผู้ชมเฉพาะที่มีขนาดเล็กแต่มีความสนใจสูง ซึ่งสามารถสร้างผลกำไรได้มากเช่นกัน
จำนวนรายได้ของนักการตลาดแบบพันธมิตรยังขึ้นอยู่กับกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น โปรแกรมพันธมิตรในภาคธุรกิจจะเสนอค่าคอมมิชชันที่สูงกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับหนังสือ สื่อ หรือเสื้อผ้า
นอกจากนี้ การพิจารณาอัตราการแปลงในกลุ่มเฉพาะนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหมายถึงความน่าจะเป็นในการทำการแนะนำที่ประสบความสำเร็จ นัก Affiliate marketing ควรคำนึงถึงมูลค่าของการแนะนำเทียบกับความพยายามที่ต้องใช้
🌟 อยากเพิ่มรายได้ด้วยการขายน้อยลงใช่ไหม ลองสำรวจโปรแกรมพันธมิตรที่มีราคาสูง
ทำ Affiliate เริ่มยังไง? การตลาดแบบพันธมิตรใน 4 ขั้นตอน
1. เลือกช่องทางและรูปแบบ
ทำ Affiliate เริ่มยังไง? ขั้นตอนแรกในการเริ่มต้นเป็นนักการตลาดแบบพันธมิตร คือการเลือกช่องทางการตลาดที่จะใช้ในการเข้าถึงผู้ชม และรูปแบบเนื้อหาที่จะสร้างขึ้นสำหรับช่องทางนั้น
ช่องทางการตลาดยอดนิยม ได้แก่
- Organic Search
- อีเมล
- TikTok
- YouTube
รูปแบบเนื้อหายอดฮิต ได้แก่
- การรีวิวผลิตภัณฑ์
- รายการผลิตภัณฑ์ “ที่ดีที่สุด”
- คำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่คัดสรร
- การเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์
- ไลฟ์สไตล์
เมื่อคุณเลือกช่องทางและรูปแบบแล้ว ให้เลือกแพลตฟอร์มที่คุณคุ้นเคยมากที่สุด การเริ่มต้นจากช่องทางที่คุณถนัดจะช่วยให้คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงได้ ส่งผลให้ผู้ชมมีส่วนร่วมมากขึ้น
ไม่ว่าคุณจะเลือกช่องทางใด ความจริงใจเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดแบบพันธมิตร หากคุณไม่สามารถเชื่อมโยงกับผู้ชมได้อย่างแท้จริง การเปลี่ยนความสนใจของพวกเขาให้เป็นการขายอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย
2. กำหนดกลุ่มเฉพาะของคุณ
เมื่อกำหนดตลาดเฉพาะกลุ่ม นักการตลาดแบบพันธมิตรมักจะใช้หนึ่งใน 2 แนวทางดังนี้
- เลือกกลุ่มเฉพาะที่คุณหลงใหล
- เลือกกลุ่มเฉพาะโดยใช้การวิเคราะห์ผู้ชม
การเลือกกลุ่มที่คุณมีความรู้และความหลงใหลมาก่อนจะทำให้คุณดูน่าเชื่อถือและเป็นของแท้สำหรับผู้ที่สนใจและอาจเป็นลูกค้า นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรโปรโมทผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ใด
ยกตัวอย่าง หากคุณเริ่มบล็อกเกี่ยวกับการดูแลสัตว์เลี้ยงหลังจากรับเลี้ยงสุนัข การเลือกกลุ่มพันธมิตรในด้านการดูแลสัตว์เลี้ยงจะทำให้เนื้อหาของคุณสอดคล้องกับผู้ชมและช่วยให้คุณโปรโมทผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องได้
ในทางกลับกัน การเลือกการตลาดพันธมิตรเฉพาะกลุ่มจากการวิเคราะห์ผู้ชม อาจเผยให้เห็นโอกาสในตลาดที่มีการแข่งขันน้อยลง การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณตั้งตัวในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก
อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีนี้หมายความว่าคุณอาจต้องแข่งขันกับผู้สร้างเนื้อหาที่มีความรู้เชิงลึกในเรื่องนั้น ๆ คุณจะต้องใช้เครื่องมือการตลาดพันธมิตร เช่น Social Listening การวิเคราะห์เว็บไซต์ และข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจกลุ่มผู้ชมและความต้องการของพวกเขา
3. ค้นหาโปรแกรมพันธมิตร
ทํา Affiliate ที่ไหนดี? ในการสร้างรายได้ในฐานะนักการตลาด Affiliate ผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือกโปรโมทต้องตรงกับความสนใจของผู้ชมของคุณ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกันอาจทำลายความน่าเชื่อถือและส่งผลให้การขายลดลง
หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะหาผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ที่เหมาะสมได้ที่ไหน มีเครือข่ายพันธมิตรยอดนิยมยอดนิยมมากมาย เช่น
อีกทางเลือกหนึ่งคือการเข้าไปที่เว็บไซต์ของธุรกิจโดยตรงเพื่อดูว่าพวกเขามีโปรแกรมพันธมิตรหรือไม่ หลายธุรกิจ เช่น โปรแกรมพันธมิตรของ Shopify ที่คุณสามารถเข้าร่วมได้
อีกวิธีคือการติดต่อกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่คุณสนใจ สอบถามว่าพวกเขามีโปรแกรม Affiliate หรือไม่ หากไม่มี พวกเขาอาจเสนอโอกาสพิเศษ เช่น การให้รหัสคูปองที่คุณสามารถแชร์กับผู้ติดตามของคุณ
อย่าลืมว่าโปรแกรมพันธมิตรมีข้อกำหนดในการให้บริการที่คุณต้องปฏิบัติตาม อ่านข้อกำหนดเหล่านี้อย่างละเอียดเสมอ ตัวอย่างเช่น ลิงก์พันธมิตรมักจะมีการตั้งค่าคุกกี้ที่มีอายุการใช้งานจำกัด และบางโปรแกรมไม่อนุญาตให้ใช้โฆษณาแบบจ่ายต่อคลิกที่ใช้ชื่อผลิตภัณฑ์หรือบริษัท
รับค่าตอบแทนจากแบรนด์ที่คุณรักด้วย Shopify Collabs
Shopify Collabs ช่วยให้คุณค้นหาแบรนด์ที่ตรงกับสไตล์ของคุณ สร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์พันธมิตร และรับค่าตอบแทนจากยอดขายที่คุณทำได้
4. เลือกสินค้าอย่างแรกของคุณ
เมื่อคุณเริ่มต้นระดมความคิดหรือค้นหาในแพลตฟอร์มพันธมิตร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือกโปรโมทควรสอดคล้องกับผู้ชมของคุณหรือผู้ชมที่คุณต้องการสร้าง
ถามตัวเองว่า
- ผลิตภัณฑ์นี้จะมีคุณค่าสำหรับผู้ชมกลุ่มเป้าหมายหรือไม่
- ผลิตภัณฑ์นี้สอดคล้องกับแบรนด์และความเชี่ยวชาญของเราหรือไม่
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่คุณโปรโมทเหมาะกับแพลตฟอร์มที่คุณใช้ ตัวอย่างเช่น การโปรโมทผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านและแฟชั่นอาจได้ผลดีในแพลตฟอร์มที่มีเนื้อหาภาพเป็นหลัก เช่น Instagram อย่างไรก็ตาม สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน เช่น ซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มที่ให้คุณสร้างเนื้อหาละเอียด เช่น บล็อกหรือ YouTube อาจมีอัตราการแปลงที่ดีกว่า
วิธีเข้าร่วมโปรแกรมพันธมิตรของ Shopify
โปรแกรมพันธมิตรของ Shopify เปิดรับผู้สร้างเนื้อหา อินฟลูเอนเซอร์และผู้สอนจากทั่วโลก คุณสามารถช่วยผู้ค้าปลีกเริ่มต้นธุรกิจด้วย Shopify หรือแนะนำพวกเขาให้เห็นประโยชน์ของการใช้ Shopify ในการขยายธุรกิจ
เข้าร่วมเป็นพันธมิตรของ Shopify ฟรี! เมื่อคุณได้รับการตอบรับเข้าร่วมโปรแกรม คุณจะได้รับค่าคอมมิชชันทุกครั้งที่ผู้ค้าปลีกที่คุณแนะนำทดลองใช้ Shopify และสมัครใช้งานแผนเต็มรูปแบบ
นี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการเข้าร่วมโปรแกรมพันธมิตรของ Shopify
เกณฑ์การเป็น Affiliate
เพื่อเข้าร่วมโปรแกรมพันธมิตรของ Shopify คุณต้อง
- เป็นเจ้าของเว็บไซต์และดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ
- มีฐานผู้ชมอยู่แล้ว
- สร้างเนื้อหาต้นฉบับ เช่น บทความ วิดีโอ หรือคอร์สออนไลน์
- มีประสบการณ์กับ Shopify หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่น ๆ
ในฐานะพันธมิตร คุณต้องปฏิบัติตามแนวทางแบรนด์ของ Shopify เพื่อให้แน่ใจว่าคุณใช้งานทรัพย์สินแบรนด์อย่างถูกต้อง
ขั้นตอนการสมัคร
ในการสมัครเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ Shopify กรอกแบบฟอร์มสมัครนี้ ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีในการกรอก
ในขั้นตอนการสมัคร คุณจะต้องยอมรับเงื่อนไขของ Shopify ซึ่งรวมถึงรายละเอียดการจ่ายเงินตามสถานที่ เงื่อนไขยังอธิบายวิธีที่คุณจะได้รับค่าตอบแทนจากการแนะนำด้วย
บอก Shopify ว่าคุณวางแผนจะแนะนำผู้ค้าปลีกอย่างไร เช่น โดยการสร้างเนื้อหารีวิว การเสนอคอร์ส หรือการสื่อสารกับผู้ชมของคุณ
หลังจากนั้น คุณสามารถเชื่อมต่อช่องทางการโปรโมทของคุณกับใบสมัคร เพิ่มเว็บไซต์ บัญชีโซเชียล พอดแคสต์ จดหมายข่าว หรือช่องทางอื่น ๆ ที่คุณใช้ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
หากคุณยังไม่เคยใช้ Impact (แพลตฟอร์มการจัดการพันธมิตรของ Shopify) คุณจะต้องลงทะเบียนเปิดบัญชีผ่านแบบฟอร์มสมัครนี้
Impact
Shopify ใช้ Impact ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ของบุคคลที่สามในการจัดการโปรแกรมพันธมิตร พันธมิตรสามารถสร้างและจัดการลิงก์แนะนำผ่านแพลตฟอร์มนี้
ภายใน Impact คุณจะพบลิงก์แนะนำและทรัพย์สินสร้างสรรค์ที่ออกแบบไว้ล่วงหน้า ซึ่งอัปโหลดโดยทีมออกแบบของ Shopify ทุกทรัพย์สินได้รับการทดสอบเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขาย
นอกจากนี้ คุณยังสามารถเพิ่มรหัสติดตามเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของลิงก์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย คุกกี้ติดตามของ Shopify สำหรับลิงก์พันธมิตรมักจะมีอายุ 30 วัน
เมื่อคุณสมัครแล้ว
Shopify จะตรวจสอบใบสมัครของคุณและแจ้งผลภายใน 3-5 วัน หากใบสมัครของคุณได้รับการอนุมัติ คุณจะได้รับอีเมลยืนยันการตอบรับ พร้อมเครื่องมือเริ่มต้น
ดูเอกสารช่วยเหลือนี้สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมพันธมิตรของ Shopify รวมถึงวิธีการรับค่าตอบแทนและเคล็ดลับการสร้างกลยุทธ์ Affiliate ของคุณ
9 เคล็ดลับสำหรับความสำเร็จในการตลาดแบบพันธมิตร
1. สร้างความไว้วางใจ
จากเคล็ดลับการตลาดแบบพันธมิตรจากผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ความเชื่อถือได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่าทำลายภาพลักษณ์ของแบรนด์คุณเพื่อพันธมิตรหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ
ความเชื่อถือได้หมายถึงการเผยแพร่เนื้อหาที่ซื่อสัตย์และโปร่งใส หากคุณรีวิวผลิตภัณฑ์ ให้แบ่งปันความคิดเห็นที่แท้จริงจากประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ ยิ่งคุณเปิดเผยมากเท่าไร คุณจะดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ความไว้วางใจมีความสำคัญมากขึ้นในบางกลุ่ม ตัวอย่างเช่น การโปรโมทคอร์สออนไลน์ที่มีราคาแพงต้องการความน่าเชื่อถือมากกว่าการขายสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเสื้อยืด ราคา 20 ดอลลาร์
Desirae Odjick ผู้ก่อตั้งบล็อกการเงินส่วนบุคคล Half Banked แนะนำให้รักษาความน่าเชื่อถือโดยการโปรโมทผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้จริงหรือเลือก Affiliate ที่สอดคล้องกับคุณ
“ตัวอย่างเช่น ผู้คนไว้วางใจคำแนะนำของฉันเกี่ยวกับแอปการเงิน แต่ฉันอาจไม่ประสบความสำเร็จหากโปรโมท Sephora”
2. พูดคุยกับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และผู้เชี่ยวชาญ
พิจารณาสัมภาษณ์ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่คุณโปรโมท หรือสร้างเนื้อหาเชิงลึกเกี่ยวกับแบรนด์ที่คุณร่วมงานด้วย
เนื้อหาที่มีบริบทจะเพิ่มคุณค่าและทำให้รีวิวของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้น
3. สร้างบทแนะนำผลิตภัณฑ์
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพคือการสร้างบทแนะนำการใช้งานสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณโปรโมท
ผู้คนมักค้นหาวิธีการแก้ปัญหา เช่น “วิธีการประหยัดเงินเพื่อการศึกษาต่อ” หรือ “วิธีการตกแต่งห้องซักผ้า” การเสนอบทแนะนำที่ชัดเจนสามารถกระตุ้นให้ผู้ชมของคุณสนใจผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น
4. สร้างรายชื่ออีเมล
รายชื่ออีเมลเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารกับผู้คนหลังจากที่พวกเขาออกจากโซเชียลมีเดียหรือปิดเบราว์เซอร์
พิจารณาการเขียนและส่งจดหมายข่าวรายสัปดาห์ให้กับผู้ติดตามของคุณที่โปรโมทพันธมิตรของคุณ ตั้งเป้าที่จะให้สิ่งที่มีคุณค่าแก่ผู้อ่าน เช่น
- ดาวน์โหลดฟรี
- รายงาน
- ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตหรือธุรกิจของคุณ
- เรื่องราวที่น่าสนใจ
- การอัปเดตและข่าวสาร
- ข้อเสนอพิเศษ
อย่าลืมตอบกลับเมื่อผู้ติดตามมีคำถามหรือแสดงความคิดเห็น ความสม่ำเสมอในการส่งอีเมลและคุณภาพของเนื้อหาคือกุญแจสำคัญ บางครั้งคุณสามารถโปรโมทผลิตภัณฑ์พันธมิตรได้หนึ่งหรือสองรายการในจดหมายข่าว
ไม่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับความถี่ในการส่งอีเมล อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการส่งทุกครั้งที่มีโปรโมชัน เพราะอาจดูเหมือนสแปมและทำให้เสียความน่าเชื่อถือ
สร้างอีเมลที่มีแบรนด์ในไม่กี่นาทีด้วย Shopify
สร้างอีเมลอัตโนมัติและติดตามแคมเปญอีเมลได้ง่าย ๆ จากแผงควบคุม Shopify โดยไม่ต้องใช้การเขียนโค้ด
5. ค้นหาคำค้นที่เกี่ยวข้อง
หากคุณกำลังโปรโมทผลิตภัณฑ์ผ่านโพสต์บล็อก การค้นคว้าคำหลักที่ผู้คนอาจใช้ในการค้นหาผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ
Google Ads Keyword Planner เป็นเครื่องมือฟรีที่สามารถช่วยคุณค้นหาคำหลักที่มีความเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องสร้างบัญชีเพื่อใช้งานเครื่องมือนี้
6. ใช้ผลิตภัณฑ์จริง
การสร้างเนื้อหาที่มาจากประสบการณ์ตรงในการใช้งานผลิตภัณฑ์นั้น ๆ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะกระตุ้นให้ผู้ชมของคุณสนใจและลองใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง
ตัวอย่างเช่น คุณอาจสร้างวิดีโอที่แสดงการใช้งานผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันหรือสาธิตวิธีใช้ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประสบการณ์จริงและมุมมองส่วนตัวของคุณจะช่วยเพิ่มคุณค่าให้เนื้อหาและทำให้ผู้ชมของคุณรู้สึกเชื่อมโยงมากขึ้น
โพสต์การแกะกล่องเป็นประเภทของการตลาดแบบพันธมิตรที่ได้รับความนิยมและสร้างการมีส่วนร่วมสูง หากคุณได้รับผลิตภัณฑ์ทางไปรษณีย์ การบันทึกประสบการณ์การเปิดกล่องสามารถสร้างความตื่นเต้นและทำให้ผู้ชมของคุณสนใจที่จะลองใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ด้วยตัวเอง
7. กำหนดกลยุทธ์ไวรัลคอนเท้นท์
เมื่อคุณเขียนคอนเท้นท์สำหรับโปรโมทแล้ว ให้แชร์บนเว็บไซต์และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่คุณใช้งาน หากคุณมีรายชื่อผู้ติดตาม คุณสามารถสร้างแคมเปญการตลาดทางอีเมลเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึง
8. นำเสนอรหัสส่วนลดหรือข้อเสนอพิเศษ
บางครั้งการเสนอรหัสส่วนลดหรือข้อเสนอพิเศษสามารถช่วยกระตุ้นการซื้อได้ ตัวอย่างเช่น คุณอาจเสนออีบุ๊กฟรีให้กับผู้ติดตามที่ทำการซื้อผ่านลิงก์พันธมิตรของคุณ
โปรโมชันแบบนี้ทำให้ข้อเสนอน่าสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะหากโบนัสที่เสนอเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่แล้ว ผู้ซื้อสามารถเห็นคุณค่าทางการเงินของโบนัสนี้ได้ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น Talking Shrimp เสนอโบนัสเนื้อหาการเขียนของตัวเองสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนคอร์สออนไลน์ B-School ซึ่งตรงกับความสนใจของผู้ติดตาม B-School
9. รักษาความถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อคุณใช้ลิงก์ Affiliate ในเนื้อหา ให้เปิดเผยเสมอ นี่เป็นข้อกำหนดของ FTC และยังช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ชมของคุณ
ตัวอย่างเช่น บล็อก Frugalwoods เกี่ยวกับการเป็นอิสระทางการเงิน มีการเปิดเผยความสัมพันธ์อย่างโปร่งใส
“Frugalwoods.com มีลิงก์พันธมิตร ซึ่งหมายความว่า frugalwoods.com จะได้รับค่าคอมมิชชันสำหรับการซื้อที่ทำผ่านลิงก์เหล่านั้นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ โปรดเข้าใจว่าเรามีประสบการณ์กับบริษัททั้งหมดนี้และแนะนำพวกเขาเพราะพวกเขามีประโยชน์และมีคุณค่า ไม่ใช่เพราะค่าคอมมิชชันเล็กน้อยที่เราทำได้หากคุณตัดสินใจซื้ออะไรบางอย่าง”
หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการร่างคำเปิดเผย ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อความถูกต้อง
ตัวอย่างโปรแกรม Affiliate
ลองดูโปรแกรมพันธมิตรยอดนิยมเหล่านี้เพื่อทำความเข้าใจโมเดลการจ่ายเงินที่แตกต่างกัน และดูว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการใดที่คุณสามารถโปรโมทได้
Shopify
โปรแกรมพันธมิตรของ Shopify เป็นชุมชนของผู้ประกอบการ ผู้สอน ผู้มีอิทธิพล และผู้สร้างเนื้อหาที่แนะนำลูกค้าให้กับ Shopify การเข้าร่วมโปรแกรม Affiliate นี้ไม่มีค่าใช้จ่าย คุณเพียงแค่ต้องสมัคร
เมื่อได้รับการอนุมัติ คุณจะได้รับลิงก์พันธมิตรเฉพาะที่สามารถแชร์กับผู้ชมของคุณ ทุกครั้งที่มีคนลงทะเบียนผ่านลิงก์นี้ คุณจะได้รับรายได้
โดยเฉลี่ยแล้ว พันธมิตรของ Shopify จะได้รับ 58 ดอลลาร์ต่อผู้ใช้ที่ลงทะเบียนสำหรับแผนที่ต้องชำระเงิน ศักยภาพในการสร้างรายได้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การตลาดของคุณ
Ezra Firestone จาก Smart Marketer ถือว่าโปรแกรมพันธมิตรของ Shopify เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่เข้าถึงได้มากที่สุดที่เขาเคยพบในระยะเวลากว่า10 ปีในด้านการตลาดดิจิทัล
“Shopify ทำให้ผมโปรโมทผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ทำเงินได้ง่าย และยังให้คุณค่ากับชุมชนของผมอีกด้วย” เขากล่าว
Healthish
Healthish ผู้ค้าขวดน้ำยอดนิยม ใช้การตลาดแบบพันธมิตรเพื่อสร้างแบรนด์มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ พวกเขาเริ่มต้นด้วยการร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลบน Instagram เพื่อสร้างการรับรู้สำหรับผลิตภัณฑ์หลักของพวกเขา ขวด WB-1
โปรแกรมพันธมิตรของ Healthish ร่วมงานกับผู้มีอิทธิพลที่มีผู้ติดตาม 100,000 คนขึ้นไป โดยทำงานร่วมกับผู้สร้างเนื้อหาประมาณ 300 คนต่อเดือนเพื่อสร้างการตลาดที่ครอบคลุมในวงกว้าง
Frankies Bikinis
แบรนด์ชุดว่ายน้ำ Frankies Bikinis เรียกพันธมิตรของพวกเขาว่าเป็นทูตแบรนด์ โดยใช้แฮชแท็ก #Frankiesgirls พวกเขาจัดการโปรแกรมพันธมิตรผ่าน ShareASale, RewardStyle และ Skimlinks แบรนด์สนับสนุนให้ผู้ที่มีการแสดงออกทางสังคมที่แข็งแกร่งสมัครเข้าร่วม ค่าคอมมิชชันจะจ่ายเป็นเงินสด และ Frankies Bikinis ยังเสนอรายการโปรโมชันพิเศษให้กับทูตแบรนด์เพื่อนำไปใช้ในการโปรโมท
Juice Beauty
Juice Beauty เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย โปรแกรมพันธมิตรของพวกเขาดำเนินการผ่าน Rakuten พันธมิตรจะได้รับค่าคอมมิชชันเริ่มต้นที่ 6% จากการขายทั้งหมด นอกจากนี้ พันธมิตรจะได้รับข้อเสนอพิเศษและส่วนลดที่สามารถใช้ในการโปรโมท Juice Beauty ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการเข้าร่วมโปรแกรม Affiliate ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นในธุรกิจการตลาดแบบพันธมิตร
EcoFlow
EcoFlow เป็นแบรนด์โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะ ผลิตภัณฑ์ของพวกเขารวมถึงเครื่องปรับอากาศแบบพกพาและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า บริษัททำงานร่วมกับพันธมิตรในสองโปรแกรม Affiliate โดยเสนอค่าคอมมิชชัน 5% จากการขายแต่ละครั้ง อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่าค่าเฉลี่ยของคำสั่งซื้ออยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์ หมายความว่าคุณจะได้รับค่าคอมมิชชัน 50 ดอลลาร์สำหรับแต่ละการขายผ่านลิงก์ของคุณ
Manduka
Manduka เป็นแบรนด์โยคะที่มีโปรแกรมการแนะนำและพันธมิตรหลากหลาย สำหรับครูโยคะ ผู้มีอิทธิพล และผู้เผยแพร่ การมีตัวเลือกหลากหลายนี้ช่วยให้ Manduka สามารถจับคู่พันธมิตรกับโปรแกรมที่เหมาะสมกับช่องทางและผู้ชมของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Good To-Go
Good To-Go แบรนด์อาหารสำหรับแคมป์ปิ้ง เสนอค่าคอมมิชชัน 10% และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เนื่องจากแบรนด์เน้นตลาดเฉพาะทาง Good To-Go จึงสามารถร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลในด้านการใช้ชีวิตกลางแจ้ง เพื่อจัดทำแคมเปญพันธมิตรที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ชมเฉพาะ ได้แก่ นักตั้งแคมป์และนักเดินทาง
เริ่มต้นธุรกิจการตลาดแบบพันธมิตรของคุณวันนี้
การตลาดแบบพันธมิตรเป็นวิธีที่คุ้มค่าในการสร้างรายได้ใหม่ด้วยการลงทุนเริ่มต้นที่ต่ำ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาและความพยายามในการค้นหาเครือข่ายพันธมิตรที่เหมาะสมและปรับกลยุทธ์ของคุณ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นสามารถนำไปสู่รายได้แบบพาสซีฟในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตลาดแบบพันธมิตร
การตลาดแบบพันธมิตรหมายถึงอะไร
การตลาดแบบพันธมิตรคือการที่พันธมิตรได้รับค่าคอมมิชชันจากการโปรโมทผลิตภัณฑ์ หรือบริการของบริษัทผ่านการใช้ลิงก์พันธมิตร โดยพันธมิตรจะได้รับค่าตอบแทนสำหรับการสร้างผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจงให้กับผู้ค้าหรือผู้โฆษณา ผลลัพธ์เหล่านี้อาจเป็นการขาย การแนะนำ การดาวน์โหลด หรือการลงทะเบียน รายได้จากการตลาดแบบพันธมิตรอาจเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขายหรือจำนวนเงินคงที่ต่อการแนะนำ
เราจะเริ่มการตลาดแบบพันธมิตรได้อย่างไร
คุณสามารถเริ่มการตลาดแบบพันธมิตรได้ด้วยการทำตามขั้นตอนเหล่านี้
- ตัดสินใจเลือกกลุ่มเฉพาะที่คุณต้องการโปรโมท
- เลือกแพลตฟอร์มที่คุณจะใช้
- ค้นหาโปรแกรม Affiliate marketing ในไทยที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนั้น
- สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและดึงดูดผู้ชม
- ขยายฐานผู้ติดตามของคุณ
- ปฏิบัติตามแนวทางของ FTC เพื่อรักษาความโปร่งใส
การตลาดแบบพันธมิตรคุ้มค่าหรือไม่
อุตสาหกรรมการตลาดแบบพันธมิตรมีมูลค่ากว่า 8.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ตามข้อมูลของ Statista การตลาดแบบพันธมิตรเริ่มต้นได้ด้วยต้นทุนต่ำและมีความเสี่ยงน้อย เมื่อเทียบกับโมเดลธุรกิจออนไลน์อื่น ๆ
เครือข่ายการตลาดแบบพันธมิตรที่ดีที่สุด มีอะไรบ้าง
เครือข่ายพันธมิตรชั้นนำ ได้แก่
- Affiliate Future
- AvantLink
- CJ
- ClickBank
- FlexOffers
- LinkConnector
- ShareASale
ตัวอย่างแพลตฟอร์มที่คุณสามารถเข้าร่วมตลาดแบบพันธมิตร มีอะไรบ้าง
Shopify มีโปรแกรมพันธมิตรที่พันธมิตรสามารถแนะนำผู้ค้าปลีกให้สมัครใช้งานแพลตฟอร์มได้โดยไม่ต้องฝากค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการเข้าร่วม หลังจากสมัครและได้รับการอนุมัติ พันธมิตรจะได้รับลิงก์การแนะนำที่ใช้โปรโมท เมื่อผู้ค้าปลีกลงทะเบียนผ่านลิงก์นี้และสมัครแผน Shopify ที่ต้องชำระเงิน พันธมิตรจะได้รับค่าคอมมิชชัน